คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การส่งหมายเรียกและหมายนัดให้แก่จำเลยในครั้งก่อน ๆ ล้วนเป็นการส่งโดยวิธีปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสิ้น และทุกครั้งจำเลยก็ไม่เคยโต้แย้งว่ามิได้ทราบข้อความตามหมายเหล่านั้น สำหรับในครั้งนี้ก็เป็นการส่งโดยวิธีปิดหมายเช่นเดียวกัน จึงต้องถือว่าเป็นการส่งโดยชอบแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 จำเลยกล่าวอ้างมาในคำร้องและอุทธรณ์ฎีกาเพียงว่า จำเลยไม่เห็นและไม่ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ตามหมายนัดดังกล่าว โดยไม่ปรากฏเหตุผลว่าเพราะเหตุใดการปิดหมายในครั้งนี้จึงแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ แม้มีผู้ใดรับหมายไว้แทนจำเลย จำเลยก็อาจบ่ายเบี่ยงอีกว่าผู้รับหมายไว้แทนไม่ได้นำหมายไปมอบให้จำเลย กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่จำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์เสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,300,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท วันที่ 7 มีนาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเพิ่งทราบว่าแพ้คดีหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยแล้ว และจากการตรวจสำนวนจึงพบว่า นายชัยวัฒน์ นกเทศ และนายสมปอง พุ่มห้วยรอบ นำใบแต่งทนายความที่จำเลยลงชื่อให้ทนายความคนอื่นไว้ไปกรอกข้อความแต่งตั้งตนเองเป็นทนายจำเลยและเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ไปโดยไม่มีอำนาจ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีนี้ทั้งหมด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2545 ให้ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ก่อน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายแล้วให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวมาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหมาย โดยให้ปิดหมายได้ วันที่ 23 พฤษภาคม 2545 ศาลชั้นต้นออกหมายนัดแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยปฏิบัติ วันที่ 26 เดือนเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นนำหมายนัดฉบับนี้ไปปิดที่หน้าบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย เนื่องจากไม่พบจำเลยและไม่มีผู้รับหมายไว้แทน
วันที่ 17 กรกฎาคม 2545 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่เคยพบเห็นหมายนัดของศาลชั้นต้นดังกล่าว ได้ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อมาตรวจสำนวน จึงขออนุญาตวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การส่งหมายนัดนั้นได้ส่งไปที่ภูมิลำเนาของจำเลยโดยชอบแล้ว ถือว่าจำเลยทราบ ข้ออ้างของจำเลยไม่มีเหตุให้รับฟัง ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับและมีคำสั่งว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 5 เมษายน 2544 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบด้วยมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 2
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบคำสั่งศาลตามหมายนัดที่ปิดไว้ ขอให้อนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ใหม่นั้น เห็นว่า การส่งหมายเรียกและหมายนัดให้แก่จำเลยในครั้งก่อน ๆ ล้วนเป็นการส่งโดยวิธีปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยคือ บ้านเลขที่ 6 ถนนเทศบาล 3 ซอย 4 ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ทั้งสิ้น และทุกครั้งจำเลยก็ไม่เคยโต้แย้งว่ามิได้ทราบข้อความตามหมายเหล่านั้น สำหรับครั้งเกิดเหตุในวันที่ 26 พฤษภาคม 2545 ก็เป็นการส่งโดยวิธีปิดหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งต้องถือว่าเป็นการส่งโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 จำเลยกล่าวอ้างมาในคำร้องและอุทธรณ์ฎีกาเพียงว่า จำเลยไม่เห็นและไม่ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามหมายนัดดังกล่าว โดยไม่ปรากฏเหตุผลเลยว่าเพราะเหตุใดการปิดหมายในครั้งนี้จึงแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ แม้มีผู้ใดรับหมายไว้แทนจำเลยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา จำเลยก็อาจบ่ายเบี่ยงไปได้อีกว่าผู้รับหมายไว้แทนไม่ได้นำหมายไปมอบให้จำเลย กรณีไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย และมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่จำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์เสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share