คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีมีโทษประหารชีวิต แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพให้ศาลรับฟังจนเป็นที่พอใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
คดีที่จำเลยให้การปฏิเสธเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้รับฟังได้โดยชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษของกลางอย่างไร ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา การที่จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 370 เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักร แม้จะเป็นจำนวนค่อนข้างมากก็ยังไม่อาจบ่งชี้หรือแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน เรือและเครื่องเรือของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง แต่ให้การปฏิเสธในข้อหานำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 62 วรรคสอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นคนไทยออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนดและฐานเป็นคนไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางที่กำหนด ลงโทษปรับกระทงละ 1,000 บาท ฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่ายลงโทษประหารชีวิต รวมลงโทษจำเลยประหารชีวิตและปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 1,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้ลงโทษประหารชีวิตและปรับ 1,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีน เรือและเครื่องเรือของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม สำหรับความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (1) คงจำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจเอกอังคาร โคตรอาสา สิบตำรวจเอกชูชาติ ฉิมขาว และสิบตำรวจโทอดิศร ยัติสาร ผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนจับกุมพยานทั้งสามได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยกับพวก จะข้ามไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในประเทศไทยจึงวางแผนจับกุม โดยในวันเกิดเหตุพยานทั้งสามได้ไปดักซุ่มดูอยู่ที่บ้านอาฮง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย จนเวลาประมาณ 17 นาฬิกา เห็นจำเลยกับพวกรวมสามคนนั่งเรือหางยาวจากบ้านเวินธาตุประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวข้ามแม่น้ำโขงมาที่ท่าเรือบ้านอาฮง เมื่อเรือจอดพยานทั้งสามกับพวกได้เดินเข้าไปเพื่อขอตรวจค้น สิบตำรวจเอกอังคารเห็นจำเลยล้วงสิ่งของในกระเป๋ากางเกงข้างขวาออกมาทิ้งลงแม่น้ำโขง จึงได้เข้าควบคุมตัวจำเลยไว้ สิบตำรวจโทอดิศรลงไปในเรือใช้ไม้พายเขี่ยถุงพลาสติกที่จำเลยโยนทิ้งขึ้นมาเปิดออกดูพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 370 เม็ด บรรจุอยู่ภายในจึงยึดไว้เป็นของกลาง แจ้งข้อหาแก่จำเลยกับพวกว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันเป็นขั้นตอนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ได้รับแจ้งจากสายลับจนกระทั่งจับกุมจำเลยกับพวกได้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน พยานโจทก์ทั้งสามอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 1 เมตร ย่อมจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความไปตามความจริง แม้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การปฏิเสธแต่จำเลยก็ได้นำชี้จุดที่จำเลยทิ้งถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางลงแม่น้ำโขงและยอมรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเก็บถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวได้จากข้างเรือหางยาวที่จำเลยนั่งมาตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ และคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสาม แม้สิบตำรวจเอกชูชาติจะเบิกความว่าเห็นจำเลยโยนถุงพลาสติกลงแม่น้ำโขงแตกต่างกับคำเบิกความของสิบตำรวจโทอดิศรที่ว่าเห็นจำเลยวางวัตถุสีแดงลงแม่น้ำโขงบริเวณข้างลำเรือ แต่สิบตำรวจเอกชูชาติก็เบิกความยืนยันว่าถุงพลาสติกที่จำเลยโยนลงแม่น้ำโขงห่างจากเรือประมาณครึ่งเมตรเท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ข้างลำเรือเช่นกัน กรณีน่าจะเป็นเรื่องที่พยานทั้งสองเรียกลักษณะการทิ้งของกลางแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของตนเท่านั้น จึงหาใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เป็นพิรุธไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือดังที่จำเลยฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่าจำเลยไปซื้อปลาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของคนขับเรือหางยาวที่หลบหนีไปนั้น แม้จำเลยจะมีนายวีรพล ไชยโภค ซึ่งนั่งเรือหางยาวมากับจำเลยเป็นพยานเบิกความยืนยัน แต่ทั้งจำเลยและนายวีรพลก็ไม่เคยกล่าวอ้างหรือให้การถึงเรื่องดังกล่าวมาก่อน เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ในภายหลัง ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ใช่ข้อสาระสำคัญที่จะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรจริง พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องมีโทษสูงถึงประหารชีวิต แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพให้ศาลรับฟังได้จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง คดีที่จำเลยให้การปฏิเสธยิ่งเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้รับฟังได้โดยชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาคงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษเท่านั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษของกลางอย่างไร ทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การปฏิเสธตลอดมา ลำพังการที่จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 370 เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักรแม้จะเป็นจำนวนค่อนข้างมากก็ยังไม่อาจบ่งชี้หรือแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด คงรับฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจะได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ให้ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่คดีนี้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณ จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 65 วรรคหนึ่ง (เดิม) ให้จำคุกตลอดชีวิตล ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share