คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6504/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้บัตรเครดิตของธนาคารโจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายให้จำเลยชำระเงินขั้นต่ำภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เมื่อจำเลยผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายและเริ่มนับอายุความนับแต่วันนั้นมา จำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 โจทก์ฟ้องวันที่ 29 ธันวาคม 2546 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2544 ซึ่งเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่ จึงขาดอายุความ
โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ และโจทก์ไม่ได้ออกเงินทดรองให้แก่สถานประกอบการค้าต่างๆ แทนจำเลยอีก ใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนเป็นการคิดบวกดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดเข้ากับต้นเงินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเมื่ออาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผ่อนผันไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเอง มิใช่โจทก์ไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความจึงมิได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้แก่จำเลยอีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ ประเภทบัตรวีซ่าคลาสสิคโตโยต้า – ธนาคารกรุงเทพ หลังจากจำเลยได้รับบัตรเครดิตไปจากโจทก์แล้ว จำเลยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวซื้อสินค้าชำระค่าบริการ และเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โจทก์ชำระเงินให้สถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์แทนจำเลยไปก่อนแล้วส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตไปเรียกเก็บ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 39,946.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 30,320 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2544 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ ประเภทบัตรวีซ่าคลาสสิคโตโยต้า – ธนาคารกรุงเทพ และยินยอมผูกพันตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตร จำเลยสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้า ชำระค่าบริการ และเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โดยตกลงให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินแก่สถานประกอบการค้าหรือบริการไปก่อน และจำเลยต้องชำระหนี้ดังกล่าวคืนให้โจทก์ตามจำนวนและภายในกำหนดตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้ครบถ้วนในคราวเดียว จำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์พึงเรียกเก็บได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 จำนวน 31,320 บาท โจทก์ส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายให้จำเลยชำระเงินขั้นต่ำจำนวน 4,452 บาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 แต่จำเลยผิดนัด โดยชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ครบถ้วนและไม่ตรงตามกำหนดที่โจทก์แจ้ง เพียงแต่ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายกำหนดให้จำเลยชำระเงินขั้นต่ำภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เมื่อจำเลยผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายและเริ่มนับอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์นับแต่วันนั้นมา จำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 โจทก์ฟ้องคดีนื้เมื่อว้นที่ 29 ธันวาคม 2546 จึงพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2544 ซึ่งเป็นวันเริ่มนับอายุความใหม่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดภายในวันที่ 30 มกราคม 2545 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2545 นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ และโจทก์ก็ไม่ได้ออกเงินทดรองให้แก่สถานประกอบการค้ากิจการค้าต่างๆ แทนจำเลยอีก ใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมา ล้วนเป็นการคิดบวกดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดเข้ากับต้นเงินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเมื่ออาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผ่อนผันไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเอง มิใช่โจทก์ไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความคดีนี้จึงหาได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดโดยไม่ผ่อนผันให้แก่จำเลยอีกต่อไปดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share