แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่สามารถแสดงให้ศาลเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าฝึกอบรมที่จ่ายให้ พ. และได้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงไปจริง และพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังนั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ในตำแหน่งพนักงานขาย มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในการทำงานโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ก่อนเริ่มงานโจทก์จะทำการอบรมวิชาการขายและให้ฝึกงานขายที่ห้างสรรพสินค้า โจทก์จ่ายเงินทดรองค่าใช้จ่ายในการอบรมไปก่อนเป็นเงิน 5,000 บาท หากจำเลยที่ 1 สำเร็จหลักสูตรหลักวิชาการขายภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติโดยสมบูรณ์ จำเลยที่ 1 ต้องทดรองงานต่อเป็นระยะเวลา 4 เดือน และดำรงตำแหน่งพนักงานขายไม่น้อยกว่า 1 ปี นับจากหลังพ้นทดรองงาน หากจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงิน 5,000 บาท โจทก์ส่งจำเลยที่ 1 ไปฝึกงานกับห้างโอเชี่ยนช้อปปิ้งมอลล์ภูเก็ต รวม 9 วัน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่เข้าทำงานอีกเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและค่าเบี้ยเลี้ยงจำนวน 6,605 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยทั้งสองขาดนัด ศาลแรงงานกลางพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “…โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.4 โดยสรุปได้ว่า ตามเอกสารหมาย จ.10 แสดงให้เห็นว่านางพัฒนามีรายได้ในเดือนมีนาคม 2548 มากกว่าเดือนมิถุนายน 2545 ประมาณ 5,800 บาท อันเป็นค่าฝึกอบรมในรายของจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาท ส่วนเอกสารหมาย จ.11 เป็นโปรแกรมเงินเดือนสำเร็จรูป แม้โจทก์จะจ่ายค่าฝึกอบรมแก่นางพัฒนาไปก็ไม่สามารถเพิ่มเติมข้อความได้อีก การที่โจทก์ไม่นำนางพัฒนาเข้าเบิกความเพราะโจทก์ได้นำพยานเอกสารแสดงต่อศาลอย่างชัดเจนและมีน้ำหนักมากพอแล้วว่าโจทก์ได้จ่ายเงินตอบแทนในการฝึกอบรมจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาท แก่นางพัฒนาไปจริงโจทก์ได้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกอบรมจำนวน 1,605 บาท แก่จำเลยที่ 1 แล้ว แม้จะระบุว่าเป็นค่าเงินเดือนก็เป็นการแทนความหมายของค่าเบี้ยเลี้ยงแล้ว แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ฝึกอบรมจำเลยที่ 1 จริงโดยโจทก์ได้สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการอบรมล่วงหน้าแทนจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยละทิ้งหน้าที่โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินที่ได้สำรองจ่ายไปคืนจากจำเลยทั้งสองนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางรับฟังพยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาไม่สามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์อุทธรณ์ดังกล่าวว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าฝึกอบรมที่จ่ายให้นางพัฒนาและได้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงไปจริง และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักและรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์