แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะโจทก์ถูกเลิกจ้าง ธนาคาร ศ. มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์ทำงานเป็นพนักงานของธนาคาร ศ. ติดต่อกัน 11 ปีเศษ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2534 ข้อ 45 (3) มติคณะรัฐมนตรีที่ให้สถาบันการเงินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป เพียงให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูเข้าแทรกแซงได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ และผลประโยชน์ตอบแทนของพนักงาน โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการจ้างเดิมของสถาบันการเงินนั้นเท่านั้น มิได้มีข้อความให้ยกเว้นมาตรฐานของสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชยที่รัฐวิสาหกิจจะต้องจ่ายให้แก่พนักงานซึ่งเลิกจ้างตามที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วางระเบียบไว้โดยอาศัยอำนาจแห่ง พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 จำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับเมื่อเลิกจ้างจึงยังคงเป็นไปตามที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วางระเบียบไว้ดังกล่าว ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 (5) ที่ว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกัน 10 ปีขึ้นไป ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน มาใช้แก่กรณีของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2543 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 7,337,810.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 21,741,660 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 936,000 บาท เงินเดือนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 16,120 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จ 1,699,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับค่าชดเชยและเงินเดือนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 3 เมษายน 2543) เป็นต้นไป ส่วนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือเงินบำเหน็จให้นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 5 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย กับให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ให้ความเห็นชอบโครงการโอนกิจการของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโอนสินทรัพย์รวมทั้งหนี้สินและภาระผูกพันทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 โดยให้ถือเอามูลค่าตามงบบัญชี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2545 ของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) และให้ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) คืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ให้แก่กระทรวงการคลัง และชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นตามประกาศกระทรวงการคลัง ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2545 ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2532 ครั้งสุดท้ายมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน ค่าน้ำมันรถยนต์เดือนละ 300 ลิตร เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2543 ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ออกคำสั่งให้โจทก์พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) มีระเบียบข้อบังคับพนักงานเมื่อเดือนกรกฎาคม 2535 โจทก์ได้รับสินเชื่อประเภทเงินกู้จำนวน 10,000,000 บาท จากธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) มีที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3937 และเลขที่ 4166 ตั้งอยู่ที่ตำบลวังแซ้ม อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี จดทะเบียนจำนองหนี้ประกันดังกล่าว โดยโจทก์ใช้สินเชื่อที่ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) สาขากบินทร์บุรี ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอนำโฉนดที่ดินดังกล่าวเพื่อไปแบ่งแยกในนามเดิม ซึ่งธนาคารมีคำสั่งอนุมัติให้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปทำการแบ่งแยกได้โดยให้ที่ดินแบ่งแยกออกไปทุกแปลงยังคงครอบจำนองอยู่อย่างเดิม โจทก์ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) มีประการเรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่องการยกเว้นให้สถาบันการเงินที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งกฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเอกสารหมาย จ.9 ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ยักยอก ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดวินัยร้ายแรง กระทำความผิดอาญาฐานฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์ของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน และเงินเดือนค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำปีตามส่วนอีก 3.10 วัน โดยค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของเงินเดือนค่าจ้าง แต่ไม่รวมสวัสดิการน้ำมันรถยนต์ด้วย และให้คิดดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การเลิกจ้างเพราะเหตุนี้เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุสมควร และเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้ จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จ คำนวณจากอัตราเงินเดือน เดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานโดยไม่รวมค่าครองชีพและสวัสดิการน้ำมันรถยนต์เป็นฐานในการคำนวณด้วย ส่วนดอกเบี้ยให้คิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ไม่ปรากฏว่ามีการทวงถามแล้ว จึงให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โจทก์ถูกเลิกจ้างก่อนธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) โอนสินทรัพย์รวมทั้งหนี้สินและภาระผูกพันทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับโอนต้องผูกพันรับผิดในหนี้ของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ส่วนธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว
…ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน หรือ 10 เดือน หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอยกเว้นให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าแทรกแซงถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเอกสารหมาย จ.9 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน หรือ 10 เดือน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 มิใช่ 180 วัน ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ขณะที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์ทำงานเป็นพนักงานของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ติดต่อกัน 11 ปีเศษ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานและสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2534 ข้อ 45 (3) มติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเอกสารหมาย จ.9 เพียงให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูเข้าแทรกแซงได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ และผลประโยชน์ตอบแทนของพนักงาน โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการจ้างเดิมของสถาบันการเงินนั้นเท่านั้น มิได้มีข้อความให้ยกเว้นมาตรฐานของสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชยที่รัฐวิสาหกิจจะต้องจ่ายให้แก่พนักงานซึ่งเลิกจ้างตามที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วางระเบียบไว้โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 จำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับเมื่อเลิกจ้างจึงยังคงเป็นไปตามที่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์วางระเบียบไว้ดังกล่าว ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งแพ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 (5) ที่ว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี ขึ้นไป ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน มาใช้แก่กรณีของโจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 986,000 บาท ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ให้คิดนับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.