คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การจ่ายเงินตามคำสั่งเรื่องการปรับเปลี่ยนสวัสดิการและค่าแรงของพนักงานรายวันของโจทก์ มีสองส่วนคือการปรับค่าจ้างตามข้อ 1 และการกำหนดให้พนักงานรายวันได้รับเบี้ยเลี้ยงตามข้อ 2 การจ่ายเบี้ยเลี้ยงวันละ 10 บาท หรือ 150 บาท ต่องวดการทำงาน 15 วัน จะได้รับทุกวันที่มาปฏิบัติงาน และหากมาทำงานครบงวดการทำงานจะได้รับเพิ่มในส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์ซึ่งปกติพนักงานรายวันจะไม่มีสิทธิได้รับด้วย การจ่ายเบี้ยเลี้ยงในส่วนของการทำงานครบจำนวนวันในงวดการทำงานและได้รับเบี้ยเลี้ยงเพิ่มโดยรวมส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์นั้น จะได้รับต่อเมื่อทำงานครบจำนวนวันในงวดการทำงาน 15 วัน หากทำงานไม่ครบจำนวนวันก็จะไม่ได้รับ จึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ แต่เป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานรายวันขยันมาทำงานทุกวัน จึงมิใช่ค่าจ้าง แต่การจ่ายเบี้ยเลี้ยงประจำวันวันละ 10 บาท เป็นการจ่ายแก่พนักงานรายวันทุกวันที่มาทำงาน จึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ จึงเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 5 ที่ต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนต่อไป

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยเรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 จำนวน 2 ฉบับถึงโจทก์ แจ้งผลการตรวจสอบบัญชีปี 2545 และผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างกองทุนประกันสังคมปี 2545 โดยมีคำสั่งให้โจทก์ชำระเงินสมทบเงินทดแทนเพิ่มจำนวน 24,548.93 บาท ภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2546 หากเกินกำหนดต้องชำระเงินสมทบเพิ่มตามกฎหมายร้อยละ 3 ต่อเดือน และมีคำสั่งให้โจทก์ชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเพิ่มจำนวน 85,884 บาท พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือน โจทก์จึงได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและคณะกรรมการอุทธรณ์ตามลำดับ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและคณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่า เงินเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการจ่ายเพื่อเป็นการตอบแทนในการทำงานจึงเป็นค่าจ้างต้องนำมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเป็นเงินสมทบส่งกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากการจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่พนักงาน โจทก์มีหลักเกณฑ์การจ่ายเพื่อจูงใจในการทำงานของพนักงานรายวัน โดยเมื่อพนักงานรายวันได้มาทำงานในวันทำงานปกติโจทก์จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ 10 บาทต่อ 1 วัน เว้นแต่พนักงานไม่มาทำงานเนื่องจากเจ็บป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ ขาดงาน ลากิจ แต่หากไม่มาทำงาน เพราะเนื่องจากเจ็บป่วยจากการทำงานหรือเจ็บป่วยโดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงหรือใช้สิทธิพักร้อน โจทก์ยังคงจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่พนักงานที่ไม่มาทำงานในวันดังกล่าว และหากในรอบการคำนวณค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 และวันที่ 16 ถึงวันสิ้นเดือน พนักงานได้มาทำงานในวันทำงานปกติครบทุกวัน โจทก์จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงเพิ่มให้แก่พนักงานรวมเป็น 150 บาท หากพนักงานทำงานไม่ครบทุกวันในวันทำงานปกติ ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเท่ากับวันที่พนักงานมาทำงานเท่านั้น การจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ดังกล่าวจึงไม่เป็นค่าจ้าง การที่จำเลยนำเงินเบี้ยเลี้ยงมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม จึงไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามหนังสือที่ นฐ.0030/53835 และ นฐ.0030/53834 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ที่โจทก์กำหนดจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้พนักงานนั้นเป็นการจ่ายให้แก่ลูกจ้างรายวันทุกวัน วันละ 10 บาท หรือ 150 บาท ต่องวดการทำงาน 15 วัน โดยรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ กรณีที่ลูกจ้างมาทำงานไม่ครบจำนวนวันทำงาน 1 งวดการทำงานจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเท่ากับจำนวนวันที่มาทำงานจริงยกเว้นการหยุดงานมาจากสาเหตุป่วยเนื่องจากการทำงานและการลาป่วยที่มีใบรับรองแพทย์และการลาพักร้อนเท่านั้น เงินเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายในลักษณะดังกล่าวถือเป็นค่าตอบแทนในการทำงานโดยตรงไม่ใช่เบี้ยขยัน เงินที่จ่ายดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง ต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและเงินสมทบกองทุนประกันสังคม คำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย ตามหนังสือที่ นฐ.0030/53835 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เรื่อง แจ้งผลการตรวจสอบบัญชีปี 2545 และตามหนังสือที่ นฐ.0030/53834 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เรื่อง แจ้งผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างกองทุนประกันสังคมปี 2545
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า หลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าจ้างของโจทก์คือ จ่ายทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของทุกเดือน โดยค่าจ้างงวดการทำงานในวันที่ 1 ถึงวันที่ 15 จะจ่ายให้ในวันที่ 20 ค่าจ้างงวดการทำงานในวันที่ 16 ถึงวันที่ 30 หรือ 31 จะจ่ายให้ในวันที่ 5 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 โจทก์ได้ออกคำสั่งเรื่องการปรับเปลี่ยนสวัสดิการและค่าแรงของพนักงานรายวันที่ บค.007/2540 ตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จ.3 มีเงื่อนไขให้จ่ายเบี้ยเลี้ยงประจำวัน วันละ 10 บาท หรือ 150 บาทต่องวดการทำงาน 15 วัน โดยรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ งวดการทำงานของโจทก์งวดหนึ่งมี 15 วัน จากวันที่ 1 ถึงวันที่ 15 และจากวันที่ 16 ถึงวันที่ 30 หรือ 31 แต่วันทำงานจริงโดยหักวันหยุดประจำสัปดาห์ออกแล้วจะมีวันทำงานจริงงวดละ 12 หรือ 13 วันแล้วแต่กรณี ในกรณีที่พนักงานทำงานไม่ครบจำนวนวันทำงานในงวดการทำงานจะได้รับเงินดังกล่าวเท่ากับวันทำงานที่มาทำงานจริง เว้นแต่การหยุดงานนั้นมาจากสาเหตุป่วยเนื่องจากการทำงานและลาป่วยที่มีใบรับรองแพทย์ และลาพักร้อนก็ยังคงได้รับเงินดังกล่าว หากหยุดจากสาเหตุอื่น หรือลาป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ก็จะไม่ได้รับเงินตามคำสั่งนี้ โจทก์ได้จ่ายเงินดังกล่าวเรื่อยมาจนกระทั่งการจ่ายค่าจ้างในปี 2545 ก็ยังจ่ายตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวอยู่ โดยยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง คำสั่งที่ บค.007/2540 ปรากฏตามหนังสือชี้แจงของโจทก์ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2546 เอกสารหมาย จ.4 ข้อบังคับในการทำงานของโจทก์เป็นไปตามสำเนาข้อบังคับในการทำงานเอกสารหมาย จ.5 การจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในปี 2545 เป็นตามไปสำเนางานรายได้ค่าใช้จ่ายและภาษีเอกสารหมาย จ.6 โดยเอกสารหมาย จ.6 ที่ระบุการจ่ายเงินพิพาทเป็นเบี้ยขยันเนื่องจากในภายหลังจากมีกรณีพิพาทนี้โจทก์ได้เปลี่ยนแปลงรายการการจ่ายเงินดังกล่าว โดยเรียกเป็นเบี้ยขยันและแก้ไขรายการดังกล่าวในเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจึงเปลี่ยนแปลงรายการจ่ายเงินเป็นเบี้ยขยันทั้งหมด เมื่อพิมพ์ออกมาไม่ว่าในปีใด ก็จะปรากฏเช่นนี้ สำหรับการจ่ายค่าจ้างของโจทก์ในปี 2545 จำเลยได้นำเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ตามคำสั่งที่ บค.007/2540 มารวมกับค่าจ้างเนื่องจากเห็นว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง เพื่อคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน และได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจบัญชีปี 2545 ให้โจทก์ทราบ ปรากฏตามสำเนาหนังสือที่ นฐ.0030/53835 และที่ นฐ.0030/53534 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวปรากฏตามสำเนา รายงานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เงินทดแทนและสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 10/2548 เอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.11 คณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมได้มีคำวินิจฉัยเรื่องเงินสมทบกองทุนประกันสังคมปรากฏตามสำเนารายงานการประชุมและสำเนาคำวินิจฉัยที่ 1773/2547 เอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 การคำนวณเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมนั้น จำเลยได้นำเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามคำสั่งที่ บค.007/2540 ตามที่ลูกจ้างรับจริงทั้งหมดมารวมกับค่าจ้าง เช่น ลูกจ้างรับจริงงวดละ 100 บาท หรือ 150 บาท จำเลยก็จะนำเงินที่ลูกจ้างได้รับจริงดังกล่าวมารวมกับค่าจ้างเพื่อคำนวณเป็นเงินสมทบทั้งหมด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการเดียวว่า เงินเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยเลี้ยงของพนักงานรายวันวันละ 10 บาท หรือ 150 บาท ต่องวดการทำงาน 15 วัน จึงเป็นเงินที่จ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรง มิใช่เพื่อจูงใจให้พนักงานขยันมาทำงานแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 5 นิยามศัพท์คำว่า ค่าจ้างในทำนองเดียวกันว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลุกจ้างทำได้ และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนดคำนวณหรือจ่ายในลักษณะใดหรือโดยวิธีใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร บทบัญญัติดังกล่าวให้ความหมายของค่าจ้างไว้ว่าต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง โดยมีวัตถุประสงค์ของการจ่ายเพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติของลูกจ้างที่ทำให้แก่นายจ้าง เมื่อพิจารณาจากคำสั่งเรื่องการปรับเปลี่ยนสวัสดิการและค่าแรงของพนักงานรายวันเอกสารหมาย จ.3 และตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังปรากฏว่า โจทก์ได้ออกประกาศคำสั่ง 3 ข้อ โดยข้อ 1 ระบุให้ปรับค่าจ้างแก่พนักงานรายวันเข้าใหม่เพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอีกจำนวน 5 บาท และเมื่อมีอายุการทำงานครบ 2 เดือน จะปรับเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 3 บาทต่อวัน ส่วนข้อ 2 ระบุให้พนักงานรายวันที่เริ่มเข้าทำงานใหม่มีสิทธิได้รับเบี้ยเลี้ยงประจำวัน วันละ 10 บาท หรือ 150 บาท ต่องวดการทำงาน 15 วัน โดยรวมวันหยุดประจำสัปดาห์ด้วย ในกรณีที่พนักงานมาทำงานไม่ครบจำนวนวันทำงานในงวดการทำงานจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเท่ากับจำนวนวันที่มาทำงานจริงเท่านั้น เว้นแต่กรณีป่วยเนื่องจากการทำงาน การลาป่วยที่มีใบรับรองแพทย์และการลาพักร้อน ดังนี้ การจ่ายเงินตามคำสั่งเรื่องการปรับเปลี่ยนสวัสดิการและค่าแรงของพนักงานรายวัน เอกสารหมาย จ.3 จึงมีสองส่วนคือการปรับค่าจ้าง ตามข้อ 1 และการกำหนดให้พนักงานรายวันได้รับเบี้ยเลี้ยงตามข้อ 2 การจ่ายเบี้ยเลี้ยงวันละ 10 บาท หรือ 15 บาท ต่องวดการทำงาน 15 วัน จะได้รับทุกวันที่มาปฏิบัติงาน และหากมาทำงานครบงวดการทำงานจะได้รับเพิ่มในส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์ซึ่งปกติพนักงานรายวันจะไม่มีสิทธิได้รับด้วย แต่หากมาทำงานไม่ครบจำนวนวันทำงานในงวดการทำงานนั้น ก็จะได้รับเฉพาะเพียงวันที่มาทำงาน แต่จะไม่ได้รับเพิ่มในส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์ ยกเว้นกรณีลาหรือป่วยดังกล่าว การจ่ายเบี้ยเลี้ยงในส่วนของการทำงานครบจำนวนวันในงวดการทำงาน และได้รับเบี้ยเลี้ยงเพิ่มโดยรวมส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์นั้น การจะได้รับเบี้ยเลี้ยงส่วนนี้ต่อเมื่อทำงานครบจำนวนวันในงวดการทำงาน 15 วัน หากทำงานไม่ครบจำนวนวันก็จะไม่ได้รับ การจ่ายเบี้ยเลี้ยงส่วนนี้จึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ แต่เป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานรายวันขยันมาทำงานทุกวัน จึงมิใช่ค่าจ้าง แต่การจ่ายเบี้ยเลี้ยงประจำวัน วันละ 10 บาท เป็นการจ่ายแก่พนักงานรายวันทุกวันที่มาทำงาน จึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 ที่จะต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 5 ที่ต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนต่อไป อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยตามหนังสือที่ นฐ.0030/53835 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เรื่อง แจ้งผลการตรวจสอบบัญชีปี 2545 และตามหนังสือที่ นฐ.0030/53834 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เรื่อง แจ้งผลการตรวจสอบบัญชีค่าจ้างกองทุนประกันสังคมปี 2545 เฉพาะส่วนที่จำเลยนำค่าเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างเพิ่มในส่วนของวันหยุดประจำสัปดาห์ วันละ 10 บาท มาคำนวณเงินสมทบ

Share