แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นรายเดือนในอนาคตและกำหนดวิธีการชำระเงินไว้ถูกต้องตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/40 แล้ว เพียงแต่มีเงื่อนไขเป็นบทบังคับในกรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญาว่าหากโจทก์ผิดสัญญาไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดหรืองวดหนึ่งงวดใด ให้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาทั้งหมดยอมให้จำเลยบังคับคดีเต็มตามจำนวนเงินตามข้อตกลงได้ทันที อันเป็นความประสงค์ของโจทก์จำเลยในการทำนิติกรรมสัญญาโดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 150 จึงมีผลใช้บังคับกันได้โดยชอบ
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยสำนวนที่สองว่า โจทก์ เรียกจำเลยสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลย
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายมณฑลเป็นรายเดือนจนกว่าจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ทั้งนี้จะส่งเสียจนกว่าเด็กชายมณฑลอายุไม่เกิน 23 ปี
โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สำหรับการบังคับคดีตามสัญญายอมข้อ 4. เรื่องค่าเลี้ยงดูเด็กชายมณฑลนั้น เมื่อฝ่ายโจทก์ผิดนัดชำระงวดหนึ่งงวดใดก็ให้ฝ่ายจำเลยบังคับคดีได้เฉพาะงวดนั้น กรณียังไม่อาจจะบังคับเป็นเงินทั้งก้อนได้เพราะงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระเป็นหนี้ในอนาคต
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเต็มตามจำนวน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นข้อ 4 ระบุว่า โจทก์ตกลงเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนทุกอย่างและค่ารักษาพยาบาลตามความเป็นจริงของเด็กชายมณฑลจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะและจะจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเป็นรายเดือนดังต่อไปนี้ ข้อ 4.1 ในอัตราเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ข้อ 4.2 ในอัตราเดือนล่ะ 8,000 บาท ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ข้อ 4.3 ในอัตราเดือนละ 10,000 บาท ตั้วแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และข้อ 4.4 ในอัตราเดือนละ 12,000 บาท ตั้งแต่เริ่มศึกษาในชั้นอุดมศึกษาจนกว่าจะจบระดับปริญญาตรี แต่ทั้งนี้จะส่งเสียจนกว่าเด็กชายมณฑลอายุไม่เกิน 23 ปี กับสัญญาข้อ 6 ระบุว่า หากโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาแม้ข้อหนึ่งข้อใดหรืองวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดสัญญาทั้งหมดยินยอมให้จำเลยบังคับคดีเต็มตามจำนวนเงินตามข้อตกลงได้ทันที เห็นได้ว่า ตามสัญญาข้อ 4 เป็นกรณีโจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและกำหนดวิธีการให้ชำระเป็นเงินโดยวิธีชำระเป็นครั้งคราวตามกำหนดเวลาถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/40 แล้ว เพียงแต่มีเงื่อนไขเป็นบทบังคับในกรณีโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 4 จึงได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาข้อ 6 ว่า หากโจทก์ผิดสัญญาไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดหรืองวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาทั้งหมดยอมให้จำเลยบังคับคดีเต็มตามจำนวนเงินตามข้อตกลงได้ทันที อันเป็นความประสงค์ของโจทก์จำเลยในการทำนิติกรรมสัญญาโดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 จึงมีผลใช้บังคับกันได้โดยชอบไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งนี้มิใช่กรณีบังคับเอาจากหนี้ในอนาคตซึ่งยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ดังที่โจทก์เข้าใจ คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน จำเลยไม่ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้