คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุฝนตกไม่มากและลมพัดไม่แรง การที่ต้นจามจุรีริมทางหลวงล้มทับผู้ตายขณะขับรถจักรยานยนต์ไปตามทางหลวงจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความบกพร่องของกรมทางหลวงจำเลยที่ไม่โค่นเหรือปล่อยปละละเลยไม่สั่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยไปโค่นต้นจามจุรีที่มีสภาพผุกลวงเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อันเป็นการกระทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวหรือนางสมพร ละมัย ผู้ตาย โดยมีนางพันธ์ ละมัย เป็นผู้ปกครอง จำเลยเป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทกรม สังกัดกระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาทางหลวงแผ่นดิน รวมทั้งดูแลบำรุงรักษาไม้ยืนต้นบริเวณพื้นที่ในแนวเขตทั้งสองข้างของทางหลวงแผ่นดิน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2543 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะที่ผู้ตายขับรถจักรยานต์ไปตามถนนสายเขาชัยสน – บ้านท่านางพรหม ถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 1 ถึงที่ 2 หมู่ที่ 1 ตำบลควนขนุน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ด้วยความปราะมาทเลินเล่อของจำเลย โดยจำเลยไม่ตรวจตราให้ดีกว่าต้นจามจุรีซึ่งปลูกอยู่ริมถนนดังกล่าวมีสภาพผุกลวง จะต้องโค่นออกไปเสียหรือใช้ค้ำยันหรือกระทำการอื่นใดเพื่อให้ต้นจามจุรีอยู่ในสภาพที่ไม่เกิดอันตรายต่อบุคคลผู้ใช้เส้นทางสัญจรไปมา แต่จำเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังไม่ เป็นเหตุให้ต้นจามจุรีล้มทับผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ โดยโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปลงศพและจัดการศพตามประเพณีผู้ตายเป็นเงินประมาณ 100,000 บาท และโจทก์ต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตายเป็นเงินเดือนละ 3,000 บาท ไปจนกว่าโจทก์จะบรรลุนิติภาวะเป็นเวลา 15 ปี คิดเป็นเงิน 540,000 บาท รวมเป็นเงิน 640,000 บาท จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2543 อันเป็นวันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 24,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 664,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 664,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดจนทำให้ผู้ตายซึ่งเป็นมารดาโจทก์ถึงแก่ความตาย เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย เกิดจากภัยธรรมชาติ บุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจป้องปัดอุบัติภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติได้ เนื่องจากวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ฝนตกหนักมีลมพายุพัดกรรโชกแรง ทำให้กิ่งสดของต้นหางนกยูงฝรั่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 ถึง 6 นิ้ว ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 6 ถึง 7 เมตร หักแล้วแรงลมหอบกิ่งไม้ที่หักร่วงหล่นเข้ามาบนผิวถนนหลวง โดยหล่นใส่ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายไม่ใช่ต้นไม้ทั้งต้นโค่นล้มทับผู้ตาย ต้นหางนกยูงฝรั่งดังกล่าวเป็นต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตไหล่ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 4081 กิ่งไม้ไม่ได้ยื่นล้ำเข้ามาในเขตพื้นผิวถนนทางหลวงแผ่นดินที่เกิดเหตุ การดูแลบำรุงรักษาต้นไม้ในเขตทางหลวงแผ่นดินที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยนั้น จำเลยจะตัดโค่นต้นไม้เมื่อต้นตายทั้งต้น ส่วนกิ่งไม้ที่ผุหรือกิ่งที่ไม่อาจรับน้ำหนักและอาจจะหักลงมาได้จะใช้วิธีรานกิ่งเพื่อมิให้หักร่วงหล่นบนผิวถนนเสมอ แต่สำหรับกิ่งที่หักเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น หากเกิดลมฝนที่ตกตามปกติธรรมดากิ่งจะไม่หัก และเมื่อหักก็จะไม่ตกลงบนผิวถนน แต่จะลงบนไหล่ทาง แต่เนื่องจากฝนตกหนักและลมกระโชกพัดกิ่งที่หักไปร่วงหล่นบนผิวถนน และทับผู้ตายที่ขับรถผ่านไปเป็นเหตุประจวบเหมาะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2543 อันเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 24,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2543 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา นางสาวหรือนางสมพร ละมัย ผู้ตายซึ่งเป็นมารดาโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนสายเขาชัยสน – บ้านท่านางพรหม อันเป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4081 ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 4 (บ้านท่านาพรหม – จงเก) ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาไม้ยืนต้นบริเวณพื้นที่ในแนวเขตทั้งสองข้างทางหลวงแผ่นดินดังกล่าวด้วยระหว่างนั้นต้นจามจุรีที่อยู่ข้างถนนดังกล่าวล้มทับผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่าต้นจามจุรีล้มทับผู้ตายเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือไม่ โจทก์มีนางพันธ์ ละมัย นายสนิท อักษรชู นายไว ดอนจันทร์ และนายสุพัฒน์ เนียมบุญ เป็นพยานเบิกความประกอบภาพถ่ายหมาย จ.6 ว่าต้นจามจุรีที่หักลงมาทับผู้ตายมีสภาพผุกลวงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะนายไวและนายสุพัฒน์เบิกความยืนยันได้ความว่า วันเกิดเหตุฝนตกไม่หนักและลมพัดไม่แรง ก่อนเกิดเหตุต้นจามจุรีดังกล่าวมีสภาพเอียงโน้มเข้าหาถนนประมาณ 60 องศา และโคนต้นไม้เป็นรูกลวงมาประมาณ 2 ปี นายไวเคยแจ้งเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ไปซ่อมถนนให้จัดการโค่นต้นจามจุรีดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะมีอันตราย และเคยโทรศัพท์แจ้งเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานของจำเลยหลายครั้ง นอกจากนี้องค์การบริหารส่วนตำบลเคยมีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยเพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับต้นจามจุรีต้นนี้ ทั้งนายไวยังให้ความเห็นด้วยว่า แม้ฝนตกไม่หนักและลมพัดไม่แรง โอกาสที่ต้นจามจุรีจะโค่นล้มลงได้ทุกเมื่อ เนื่องจากโคนต้นไม้กลวงและบางมากแล้ว ส่วนนายสุพัฒน์ก็เคยโทรศัพท์บอกเจ้าหน้าที่แขวงการทางและเคยไปพบเจ้าหน้าที่ให้ช่วยตัดต้นจามจุรีออก แต่เจ้าหน้าที่ก็เพิกเฉยไม่ยอมมาตัด ฝ่ายจำเลยมีนางเพียร เหล่าทอง เป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุมีฝนตกหนักและลมพายุพัดแรง ทั้งยังมีหมอกซึ่งหมายถึงละอองฝนด้วย เห็นว่า หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่นางเพียรเบิกความดังกล่าว อาจเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ นางเพียรควรหยุดเดินทางกลับไว้ก่อนเพื่อรอให้ฝนหยุดตกและลมพายุหยุดพัดเสียก่อน ไม่น่าจะนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างฝ่าสายฝนและลมพายุไป ที่นางเพียรเบิกความว่านางเพียรนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างจากบริเวณสามแยกไปตามถนนสายเขาชัยสน – จงเก เพื่อเดินทางกลับบ้านจนมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุนั้น ย่อมขัดต่อเหตุผลดังกล่าว เมื่อนายไวและนายสุพัฒน์ต่างเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นไม่มีส่วนได้เสียในคดีนี้จึงเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความของนายไวและนายสุพัฒน์มีน้ำหนักให้รับฟังว่า วันเกิดเหตุฝนตกไม่มากนักและลมพัดไม่แรงมากนัก มิฉะนั้นผู้ตายคงไม่ขับรถจักรยานยนต์และนางเพียรก็คงไม่นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างไปถึงที่เกิดเหตุ ดังนี้การที่ต้นจามจุรีล้มทับผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน แต่เป็นเพราะความบกพร่องของจำเลยที่ไม่ยอมโค่นหรือปล่อยปละละเลยไม่ยอมสั่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยไปโค่นต้นจามจุรีที่เกิดเหตุเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อันเป็นการกระทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์

Share