คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4522/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 296 และมาตรา 302 ให้อำนาจเกี่ยวกับการบังคับคดีเป็นของศาล ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นตามมาตรา 1 (14) เป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้นไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 1,407,995.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 25,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 10 ธันวาคม 2539 และชำระให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2540 หากผิดนัดยอมให้บังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 233 ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ขายทอดตลาดไปในราคา 410,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในราคาที่ต่ำเกินไป เพราะราคาตามสภาพความเป็นจริงไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท จำเลยที่ 2 ไม่คัดค้านพฤติการณ์ส่อว่าเป็นการสมรู้กันกดราคา ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด
เจ้าพนักงานบังคับคดียื่นคำชี้แจงว่า ได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปโดยชอบ ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ราคาไม่เกิน 400,000 บาท จำเลยที่ 2 จึงไม่คัดค้านการขาย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายใหม่ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีและจำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 และมาตรา 302 บัญญัติกำหนดให้อำนาจเกี่ยวกับการบังคับคดีเป็นของศาล ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (14) บัญญัติว่า “เจ้าพนักงานบังคับคดี หมายความว่า เจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดีหรือพนักงานอื่นผู้มีอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในอันที่จะปฏิบัติตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งและให้หมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ปฏิบัติการแทน” เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องปฏิบัติในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายใหม่ ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์นั้นไม่ถูกต้อง เพราะผู้คัดค้านไม่ใช่คู่ความในคดี ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 เฉพาะที่ให้ผู้คัดค้าน (เจ้าพนักงานบังคับคดี) ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ และยกฎีกาของผู้คัดค้าน คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่ผู้คัดค้าน

Share