คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6226/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ โดยสมาชิกสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อร้านค้าหรือสถานบริการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือค่าบริการจากการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินภายหลังจากสมาชิก การประกอบธุรกิจดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าวซึ่งโจทก์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในการเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดีหรือให้สมาชิกเบิกเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ได้นำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าและสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ ตลอดจนเบิกเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติหลายครั้งและเมื่อมีการเรียกเก็บเงินมายังโจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินแทนจำเลยไปทุกครั้ง แต่จำเลยไม่ยอมชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตคืนแก่โจทก์ตามใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายอันเป็นการผิดเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต โจทก์จึงยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของจำเลยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 409,463.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 199,467.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ โดยสมาชิกซึ่งรวมทั้งจำเลยสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อร้านค้าหรือสถานบริการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือค่าบริการจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยดังกล่าว โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง การประกอบธุรกิจของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิตก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในการเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดี หรือให้สมาชิกเบิกเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ปรากฏตามใบแจ้งยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ว่าจำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 26 ธันวาคม 2539 ครบกำหนดชำระหนี้วันที่ 25 มกราคม 2540 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนด จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2540 หาใช่นับแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามรายการปรับปรุงยอดหนี้ครั้งหลังสุดของโจทก์ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 27 ตุลาคม 2546 จึงพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ”
พิพากษายืน

Share