คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ เมื่อพรรคความหวังใหม่ไปรวมเข้าเป็นพรรคเดียวกับพรรคไทยรักไทย ผู้ร้องจึงเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เป็นหลักตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 73 วรรคสอง ประกอบมาตรา 72 วรรคหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเพิ่งยื่นหนังสือขอลาออกจากพรรคไทยรักไทยในวันที่ 14 มกราคม 2548 นับแต่วันที่ผู้ร้องลาออกจากพรรคไทยรักไทยถึงวันที่ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 ผู้ร้องจึงเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาติดต่อกันถึงวันสมัครรับเลือกตั้งไม่ถึง 90 วัน ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดเชียงใหม่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 ผู้ร้องได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2548 ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ผู้ร้องมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขาดคุณสมบัติมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน จึงต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ร้องได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย พรรคไทยรักไทย พรรคมหาชน และพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เมื่อใด พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยและผู้ร้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้วหรือไม่ ข้อนี้ผู้ร้องนำสืบรับว่า เดิมผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ ต่อมาพรรคความหวังใหม่รวมเข้าเป็นพรรคเดียวกับพรรคไทยรักไทย แต่ผู้ร้องไม่ได้ลงลายชื่อยินยอมให้พรรคความหวังใหม่รวมเข้าเป็นพรรคเดียวกับพรรคไทยรักไทย ผู้ร้องจึงถือว่าผู้ร้องไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อนายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองตามมาตรา 71 แล้ว ให้นายทะเบียนดำเนินการตามมาตรา 65 วรรคสอง เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พรรคการเมืองที่รวมเข้ากันเป็นอันยุบไป โดยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองเดิมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นหรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคการเมืองอื่นในกรณีที่อาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองเดิมเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้น และให้บรรดาทรัพย์สินหนี้สิน สิทธิ และความรับผิดของพรรคการเมืองเดิมโอนไปเป็นของพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง… และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่การรวมพรรคการเมืองเป็นการรวมพรรคการเมืองหนึ่งหรือหลายพรรคการเมืองเข้าเป็นพรรคการเมืองเดียวกันกับอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่เป็นหลักให้พรรคการเมืองที่จะรวมกัน ขอความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่แต่ละพรรคการเมือง และมาตรา 73 วรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อที่ประชุมใหญ่ของแต่ละพรรคการเมืองเห็นชอบให้รวมกันแล้ว ให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่จะรวมกันทุกพรรคการเมืองร่วมกันแจ้งการรวมพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนและให้นายทะเบียนดำเนินการตามมาตรา 65 วรรคสอง เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พรรคการเมืองที่รวมเข้ากับอีกพรรคการเมืองที่เป็นหลักนั้นยุบไปนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งและให้นำมาตรา 72 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น เมื่อพรรคความหวังใหม่ไปรวมเข้าเป็นพรรคเดียวกับพรรคไทยรักไทย ผู้ร้องจึงเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เป็นหลักตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 73 วรรคสอง ประกอบมาตรา 72 วรรคหนึ่ง แม้จะปรากฏจากพยานหลักฐานของผู้คัดค้านซึ่งเป็นหนังสือของผู้ร้องขอย้ำการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ซึ่งในเอกสารดังกล่าวมีใจความว่าผู้ร้องได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เมื่อเดือนเมษายน 2547 แต่ผู้ร้องก็ไม่ได้นำหนังสือขอลาออกดังกล่าวมาแสดงต่อศาล เมื่อพิจารณาหนังสือของนายสุริยะเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 ที่มีถึงผู้ร้องเกี่ยวกับการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยของผู้ร้องในย่อหน้าที่ 1 ตอนท้าย มีข้อความว่า …สมาชิกภาพของท่านจะสิ้นสุด ณ วันที่ท่านแจ้งมาต่อไป ข้อเท็จจริงจึงไม่พอรับฟังว่าผู้ร้องได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนเมษายน 2547 นอกจากนี้ผู้ร้องเองยังนำสืบว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องไปยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่พอฟังว่าผู้ร้องได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเพิ่งยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยในวันที่ 14 มกราคม 2548 นับแต่วันที่ผู้ร้องลาออกจากพรรคไทยรักไทยถึงวันที่ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2548 ผู้ร้องจึงเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาติดต่อกันถึงวันสมัครรับเลือกตั้งไม่ถึง 90 วัน ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) ที่ผู้คัดค้านไม่รับสมัครและไม่ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งชอบแล้ว
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง.

Share