คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ประเภทกิจการจัดการลงทุน ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้จัดตั้งกองทุนรวม 2 กองทุน และได้จดทะเบียนกองทุนรวมทั้งสองเป็นนิติบุคคลไว้กับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อออกหน่วยลงทุนมาจำหน่ายแก่ประชาชนนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินหรือไปหาดอกผลโดยวิธีอื่นได้ เนื่องจากการจัดการกองทุนรวมเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่การจัดการกองทุนรวมโจทก์จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและวิธีการจัดการกองทุนรวมตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ฯ มาตรา 117 ถึงมาตรา 132 โจทก์จึงมีอำนาจในการจัดการและรับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนตามมาตรา 117 ประกอบด้วยมาตรา 124 วรรคสองและมาตรา 125 (1) และโจทก์ก็ได้จัดให้ธนาคาร ก. เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมตามมาตรา 121 และมาตรา 122 มีหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุนในการติดตามดูแลควบคุมให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติจัดการกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายโดยเคร่งครัด และมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน ผู้ดูแลผลประโยชน์จึงมิได้มีอำนาจในการจัดการกองทุนรวม ส่วนการกำหนดให้กองทุนรวมเป็นนิติบุคคลเป็นเพียงการแยกหน่วยลงทุนซึ่งเป็นทรัพย์สินของแต่ละกองทุนออกจากกันแยกต่างหากจากกองทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวม เมื่อจำเลยออกหุ้นกู้เสนอขายแก่นักลงทุนและโจทก์ได้ซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวในนามของทั้งสองกองทุนรวม ต่อมาจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามหนังสือเสนอขายหุ้นต่อกองทุนรวมทั้งสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจากการไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 58,535,090.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 49,537,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 49,537,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการจัดการลงทุน โจทก์มอบอำนาจให้นางสาวไปรดา เจริญไทยทวี เป็นผู้ดำเนินคดีแทน โจทก์ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและจัดการโครงการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 และโครงการกองทุนรวมไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้า เพื่อระดมทุนโดยแบ่งกองทุนออกเป็นหน่วยเรียกว่า “หน่วยลงทุน” จำหน่ายแก่ประชาชนแล้วนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหน่วยลงทุนนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นหรือไปหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 117 และโจทก์ได้จดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 และโครงการกองทุนรวมไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้าเป็นกองทุนรวมตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 124 แล้วโจทก์ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมทั้งสอง จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2537 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยครั้งที่ 2/2537 มีมติให้ออกหุ้นกู้ประเภทไม่มีหลักประกันเสนอขายแก่นักลงทุนเฉพาะราย มีมูลค่ารวมประมาณ 1,800,000,000 บาท แบ่งเป็น 1,800,000 หน่วย มูลค่าหน่วยละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ทุกวันที่ 5 กุมภาพันธ์และวันที่ 5 สิงหาคม ตลอดอายุของหุ้นกู้ 5 ปี โดยจำเลยแต่งตั้งให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายเงินหุ้นกู้ของจำเลย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2537 กองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 ได้ซื้อหุ้นกู้ของจำเลยจำนวน 20,000 หน่วย เป็นเงิน 20,000,000 บาท และเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2537 กองทุนรวมไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้าได้ซื้อหุ้นกุ้นของจำเลยจำนวน 30,000 หน่วย เป็นเงิน 30,000,000 บาท จำเลยไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยของหุ้นกู้ประจำงวดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2541 ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ เป็นการผิดเงื่อนไขตามหนังสือข้อสนเทศเสนอขายหุ้นกู้กองทุนรวมทั้งสองมีสิทธิขอไถ่ถอนหุ้นกู้ของจำเลยจำนวน 50,000 หุ้นก่อนกำหนดในมูลค่าหุ้นละ 990.74 บาท เป็นเงิน 49,537,000 บาท และจำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยสำหรับเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2541 อันเป็นวันที่จำเลยผิดนัดไม่ยอมไถ่ถอนหุ้นกู้ให้แก่กองทุนรวมทั้งสอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า กองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 และกองทุนรวมไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้าเป็นกองทุนรวมที่ได้จดทะเบียนแล้วจึงมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 124 วรรคสอง กองทุนรวมทั้งสองจะต้องเป็นผู้ฟ้องคดีนี้เองในนามของกองทุนรวมทั้งสองนั้น เห็นว่า กองทุนรวมเป็นการออกหน่วยลงทุนของแต่ละโครงการจำหน่ายแก่ประชาชน เพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายลงทุนนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือไปหาดอกผลโดยวิธีอื่น เพื่อหากำไรมาแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน การจัดกองทุนรวมเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง การขอจัดตั้งกองทุนรวมจึงต้องกระทำโดยบริษัทหลักทรัพย์ โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ทุนทวี 2 และกองทุนไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ก้าวหน้าแล้ว โจทก์จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและวิธีการจัดการกองทุนรวมตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 หมวดที่ 4 ธุรกิจหลักทรัพย์ ส่วนที่ 7 การจัดการกองทุนรวม ตั้งแต่มาตรา 117 ถึงมาตรา 132 โดยโจทก์ได้จัดให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมทั้งสอง ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 121 และ 122 และได้จดทะเบียนกองทรัพย์สินของกองทุนรวมทั้งสองเป็นกองทุนรวมกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 124 วรรคหนึ่งแล้ว แต่ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมมีหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุนในการติดตามดูแลให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติจัดการกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายโดยเคร่งครัด และมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีให้บริษัทหลักทรัพย์ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทหลักทรัพย์ อันเป็นการใช้สิทธิควบคุมบริษัทหลักทรัพย์เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนเท่านั้น ผู้ดูแลผลประโยชน์ดังกล่าวมิได้มีอำนาจในการจัดการกองทุนรวม ส่วนการจดทะเบียนกองทรัพย์สินของกองทุนรวมตามที่มาตรา 124 วรรคสอง บัญญัติว่า “กองทุนรวมที่ได้จดทะเบียนแล้วให้เป็นนิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์นำทรัพย์สินของกองทุนรวมไปลงทุนตามโครงการจัดตั้งกองทุนรวมตามที่ได้รับอนุมัติ โดยให้บริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนรวม” นั้นก็เนื่องจากกองทุนรวมแต่ละกองทุนมีโครงการและนโยบายในการลงทุนหาผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน และการจัดการกองทุนรวมแต่ละกองทุนบริษัทหลักทรัพย์ต้องจัดการให้เป็นไปตามโครงการจัดการกองทุนรวมตามที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ตลอดจนข้อผูกพันที่ทำไว้กับผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างเคร่งครัด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 125 (1) การกำหนดให้กองทุนรวมที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคลจึงเป็นเพียงการแยกหน่วยลงทุนซึ่งเป็นทรัพย์สินของแต่ละกองทุนรวมออกจากกันเพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์นำทรัพย์สินของกองทุนรวมแต่ละกองทุนไปหาผลประโยชน์ตามโครงการจัดการกองทุนรวมที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. สำหรับกองทุนรวมนั้น ผลประโยชน์ที่ได้มาจากการจัดการกองทุนรวมใดก็ตกเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมนั้น และเป็นการแยกกองทรัพย์สินของกองทุนรวมซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวมต่างหากจากกองทรัพย์สินของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดการ เป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละกองทุนรวมเท่านั้น การจัดการและการรับผิดชอบในการดำเนินการของกองทุนรวมเป็นอำนาจของบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมตามมาตรา 117 ประกอบด้วยมาตรา 124 วรรคสองและมาตรา 125 (1) บริษัทหลักทรัพย์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามหนังสือข้อสนเทศเสนอขายหุ้นกู้ต่อกองทุนรวมทั้งสองเป็นคดีได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่ากองทุนรวมทั้งสองจะต้องเป็นผู้ฟ้องคดีนี้เองในนามของกองทุนรวมทั้งสองนั้นฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share