คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในชั้นอุทธรณ์จำเลยยกข้อเท็จจริงทำนองว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดขึ้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างใด จำเลยกลับยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นฎีกาซ้ำอีก จึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา และถือไม่ได้ว่าฎีกาดังกล่าวเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตัดสินไว้ ไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวเป็นการมิชอบ
ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านปรากฏว่า จำเลยเคยกระทำความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คมาก่อน ศาลฎีกาในคดีดังกล่าวพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 4 เดือน เมื่อจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกันย่อมถือว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าคดีก่อนและคดีนี้จำเลยได้รับโทษจำคุกในฐานะใด และเมื่อโทษจำคุกที่จำเลยได้รับในคดีก่อนมิใช่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 56

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ริบอาวุธปืนพก 2 กระบอก และลำกล้องปืนลูกกรด ขนาด .22 จำนวน 1 อัน ที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน กับเครื่องกระสุนปืนของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรหนึ่งและวรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ริบอาวุธปืนพก 2 กระบอก ลำกล้องปืน ลูกกรด ขนาด .22 จำนวน 1 อัน และเครื่องกระสุนปืนของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องเพราะสำคัญผิดว่า สมาคมนักกีฬายิงปืนอุทัยธานีมีอำนาจเก็บรักษาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางได้ เป็นทำนองว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้ยกข้อเท็จจริงทำนองดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยก็ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ได้วินิจฉัยนั้นไม่ชอบแต่อย่างใด แต่จำเลยกลับยกข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับที่เคยยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ภาค 6 ขึ้นฎีกาซ้ำอีก ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ทั้งมิได้เป็นข้อความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้ตัดสินไว้ จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ได้ ที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวมาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า คดีก่อนที่จำเลยได้รับโทษจำคุกเป็นคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 จำเลยกระทำความผิดในคดีดังกล่าวในฐานะส่วนตัว ซึ่งต่างจากคดีนี้ขณะกระทำความผิดจำเลยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักกีฬายิงปืนของสมาคมนักกีฬายิงปืนอุทัยธานีเป็นทำนองว่าเป็นการลงโทษคนละฐานะกัน จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้นั้น เห็นว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านปรากฏว่า จำเลยเคยกระทำความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คมาก่อน ศาลฎีกาในคดีดังกล่าวพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาและสำเนาหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแนบท้ายรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าว เมื่อจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกัน ย่อมถือว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าคดีก่อนและคดีนี้จำเลยได้รับโทษจำคุกในฐานะใดตามที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา และเมื่อโทษจำคุกที่จำเลยได้รับในคดีก่อนมิใช่โทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share