แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้สั่งรับคำฟ้องแล้ว เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีฉบับที่สองของจำเลย จึงเป็นคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 และคำร้องขอโอนคดีไปศาลอื่นนั้นเป็นวิธีการเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลที่จะพิจารณาคดี มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์อย่างใดของคู่ความในระหว่างการพิจารณาดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 264 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 288 (2) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 226 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปและปรับพื้นที่ให้เหมือนเดิม
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์กับนายอุดร ขจรเวหาศน์ นายบรรทัด สิงหบุตร และนายชัยณรงค์ มณี ร่วมกันหรือแทนกันทำเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ให้โจทก์กับบุคคลทั้งสามจัดการรื้อสิ่งปลูกสร้างใดๆ รวมทั้งหลักเขต สปก. ในที่ดินของจำเลยและห้ามโจทก์กับบุคคลทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลยต่อไป
ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การและฟ้องแย้งแล้ว มีคำสั่งรับคำให้การ ไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
ระหว่างการพิจารณาคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอโอนคดีนี้ไปรวมพิจารณาที่ศาลปกครองกลาง ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์แล้ว มีคำสั่งคืนให้ไปทำมาใหม่ภายใน 7 วัน จำเลยไม่ดำเนินการ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอโอนคดีนี้ไปยังศาลปกครองกลางซ้ำอีก ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ฉบับแรกไว้พิจารณา และพิพากษายืนให้ยกคำร้องขอโอนคดีตามอุทธรณ์ฉบับที่สอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้สั่งรับคำฟ้องแล้ว เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีฉบับที่สองของจำเลย จึงเป็นคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 และคำร้องขอโอนคดีไปศาลอื่นนั้นเป็นวิธีการเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลที่จะพิจารณาคดี มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์อย่างใดของคู่ความในระหว่างการพิจารณา ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 264 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 228 (2) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยให้โดยพิพากษายืนมานั้น จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ฉบับแรกของจำเลยไว้พิจารณานั้น เนื่องด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีฉบับแรกของจำเลย ก็เป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ดังกล่าวไว้พิจารณา จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดี ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ยกคำสั่งที่ผิดระเบียบดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 246 และ 247”
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฉบับลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544 ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2546 และยกฎีกาของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ