คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3223/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษามิใช่ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา 7(2)288 และ 296 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมตามคำร้องในเรื่องนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่างหาก
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 802/2491)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษา คดีถึงที่สุด ให้จำเลยไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปทำการโอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถทำนิติกรรมโอนขายได้ให้จำเลยคืนค่าที่ดิน 10,000บาท และค่าเสียหายอีก 3,400 บาท รวมเป็น 13,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 298หมู่ 5 ตำบลท่าทองใหม่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และศาลชั้นต้นได้มีหนังสือแจ้งให้นายอำเภอโอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเพื่อโอนให้แก่โจทก์นั้น เป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้โจทก์หรือเป็นจำเลยในคดีนี้ ขอให้ถอนการยึดและการโอน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดนั้นไม่ใช่ของจำเลยและเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องก็อาจร้องขัดทรัพย์ได้ ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไป
โจทก์ฎีกาว่า เมื่อผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาเป็นของผู้ร้อง ก็จะต้องยื่นฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง หรือยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ไม่มีทางร้องเข้ามาในคดีนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษามิใช่ของจำเลย หากเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ตามนัยแห่งบทบัญญัติมาตรา 7(2), 288 และ 296 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อผู้ร้องได้เสียค่าธรรมเนียมตามคำร้องในเรื่องนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่
พิพากษายืน

Share