คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้ แม้หนังสือสัญญากู้นั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรก็ดี แต่เมื่อผู้กู้ให้การรับอยู่ว่าได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริง เป็นแต่ต่อสู้ว่าเกิดจากเรื่องซื้อขาย ซึ่งไม่จำต้องอาศัยสัญญากู้เป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างไรแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาให้ผู้กู้ชำระเงินแก่ผู้ให้กู้ตามสัญญานั้นได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่นำสืบว่าเป็นหนี้ค่าซื้อปลา อันเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งสัญญากู้ ดังนี้ หาเป็นการสืบนอกประเด็นไปจากคำฟ้องไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ ๔๘๐.๕๐ บาทจากจำเลย
จำเลยปฏิเสธว่า ไม่ได้กู้เงิน แต่เป็นเรื่องซื้อขายนากัน กับฟ้องแย้งเรียกเงินจากโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยซื้อปลาของโจทก์ไป ไม่มีเงินชำระ จึงทำสัญญากู้ให้ไว้เป็นเงิน ๓๓๐ บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ ๓๓๐ บาทให้โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเฉพาะสำนวนเรื่องผิดสัญญากู้เงินเป็นให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนเรียกเงินมัดจำ คงยืนตาม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ มีเพียงว่าโจทก์จะมีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามสัญญากู้ได้หรือไม่ปรากฎว่า สัญญากู้ฉบับนี้มิได้มีอากรแตมป์ปิดตามประมวลรัษฎากร ซึ่งจะนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้เท่านั้นแต่คดีนี้จำเลยให้การรับอยู่ว่า ได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริงเป็นแต่ต่อสู้ว่า เกิดจากเรื่องซื้อขายนา จึงไม่จำต้องอาศัยสัญญากู้เป็นหลักฐานในคดีอย่างไร ส่วนข้อเท็จจริงคงได้ความตามคำพยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อปลาของโจทก์ ๓๓๐ บาท จึงได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดไว้ การที่โจทก์ฟ้องเงินตามสัญญากู้ แต่นำสืบว่าเป็นหนี้ค่าซื้อปลาอันเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งสัญญากู้เงิน หาเป็นการสืบนอกประเด็นไปจากคำฟ้องไม่
จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงิน ๓๓๐ บาทแก่โจทก์ตามศาลชั้นต้น

Share