คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4003/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยซ่อมแซมบ้านให้โจทก์เพียงบางส่วน ขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ยื่นคำร้อง ทั้งตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 1 และข้อ 2 จำเลยจะชดใช้เงินค่าเสียหายที่แท้จริงให้แก่โจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่ได้ตกลงจำนวนค่าเสียหายกันไว้ให้แน่นอนที่จะสั่งให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่สั่งว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด จึงไม่ทำให้คดีเสร็จไป โจทก์จำเลยจะต้องมาดำเนินกระบวนพิจารณากันในเรื่องค่าเสียหายของโจทก์อีก คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ
การกำหนดค่าเสียหายในประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เสียหายเพียงใดนั้น นอกจากจะพิจารณาจากการเผชิญสืบบ้านแล้ว ยังต้องพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยด้วย การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโจทก์จนหมดและไต่สวนพยานจำเลยบางส่วนแล้วสั่งงดการไต่สวนโดยไม่ไต่สวนพยานจำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ ทั้งที่ไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการไม่ชอบ กรณีมีเหตุสมควรให้ไต่สวนพยานจำเลยต่อไป ทั้งในกรณีเช่นนี้แม้คู่ความไม่ได้โต้แย้งคำสั่งให้งดการไต่สวนก็เป็นเรื่องพิจารณาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาสั่งให้ย้อนสำนวนไปศาลชั้นต้นไต่สวนพยานจำเลยต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยซ่อมแซมบ้านพิพาทของโจทก์ในส่วนที่ชำรุดทั้งหมดโดยจำเลยเป็นผู้จัดหาช่างมาซ่อมแซมและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยจำเลยจะดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันเริ่มก่อสร้าง และหากเกิดการชำรุดขึ้นอันเนื่องมาจากการก่อสร้างภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันส่งมอบการก่อสร้า งจำเลยจะต้องซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีดังเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว จำเลยยอมชดใช้เงินตามความเสียหายที่แท้จริงให้แก่โจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้ซ่อมแซมบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมนานประมาณ 4 เดือน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนกำหนดค่าเสียหายเพื่อให้จำเลยชำระแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยซ่อมแซมบ้านพิพาทเพียงบางส่วน โจทก์ยังคงได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโจทก์และไต่สวนพยานจำเลยยังไม่หมดแล้วสั่งให้งดการไต่สวน จากนั้นเผชิญสืบบ้านพิพาทและมีคำสั่งสรุปได้ว่า จำเลยซ่อมแซมบ้านพิพาทไม่เรียบร้อยตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่สั่งว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพียงบางส่วน ขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ยื่นคำร้อง ทั้งตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 1 และข้อ 2 จำเลยจะชดใช้เงินค่าเสียหายที่แท้จริงให้แก่โจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่ได้ตกลงจำนวนค่าเสียหายกันไว้ให้แน่นอนที่จะสั่งให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ทำให้คดีเสร็จไป โจทก์จำเลยจะต้องมาดำเนินกระบวนพิจารณากันในเรื่องค่าเสียหายของโจทก์อีก คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนโดยไม่ไต่สวนพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบหรือไม่ โดยศาลชั้นต้นสั่งงดการไต่สวนเพราะเห็นว่าคดีมีประเด็นเพียงว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ การไต่สวนโดยนำพยานบุคคลเข้าสืบจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพียงบางส่วนและขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดของบ้านตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ดังนี้ นอกจากคดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ด้วย ทั้งในการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวนอกจากจะพิจารณาจากการเผชิญสืบบ้านพิพาทแล้ว ยังต้องพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยด้วย การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโจทก์จนหมดและไต่สวนพยานจำเลยบางส่วนแล้วสั่งงดการไต่สวนโดยไม่ไต่สวนพยานจำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความทั้งที่ไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการไม่ชอบ กรณีมีเหตุสมควรให้ไต่สวนพยานจำเลยต่อไป ทั้งในกรณีเช่นนี้แม้คู่ความไม่ได้โต้แย้งคำสั่งให้งดการไต่สวนก็เป็นเรื่องพิจารณาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาสั่งให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานจำเลยต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ และกรณีไม่มีประโยชน์ที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นอีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานจำเลยต่อไป แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

Share