คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4114/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1กับที่ 3 กับให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 หากโอนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 3 นำที่ดินไปจำนองบุคคลภายนอกเสียก่อน คำพิพากษาจึงไม่ผูกพันบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง
แม้โจทก์จะดำเนินการให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ก็ไม่มีผลทำให้นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 3กับบุคคลภายนอกระงับสิ้นไป เพราะการจำนองจะระงับสิ้นไปได้ก็แต่โดยการเพิกถอนหรือการไถ่ถอนจำนองโดยชอบ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่อยู่ในวิสัยที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์โดยปลอดจำนองตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาประการต่อไป คือ ขอให้บังคับคดียึดที่ดินแปลงอื่นของจำเลยที่ 3ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 210041 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครพร้อมบ้านเลขที่ 115/33 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 210042 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่ 115/34 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยปลอดการจำนองและเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการโอน โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 1เป็นเงิน 390,000 บาท และชำระค่าบ้านส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 2เป็นเงิน 622,000 บาท หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้โจทก์ได้ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 988,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่างการบังคับคดีโจทก์นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่192645 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่ได้ดำเนินการเพิกถอนสัญญาขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และมิได้ชำระเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องดำเนินการดังกล่าวแล้วรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านไปจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่โจทก์กลับนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 ทั้งที่ยังอยู่ในวิสัยที่โจทก์จะบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ และไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่สามารถโอนที่ดินพร้อมบ้านแก่โจทก์ การที่โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีที่ได้กระทำต่อจำเลยที่ 3 ดังกล่าว

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินและบ้านตามคำพิพากษาติดจำนองกับธนาคารทหารไทย จำกัด และอยู่ในระหว่างบังคับจำนองตามคำพิพากษาในคดีอื่น จึงไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์จะบังคับคดีตามกรณีแรกได้ จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดการบังคับคดีชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ชอบที่จะบังคับคดีโดยการเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4แล้วชำระเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 และรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ตามขั้นตอนตามคำพิพากษาการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 192645 ของจำเลยที่ 3 เป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าคำพิพากษาคดีนี้ไม่มีผลผูกพันถึงธนาคารทหารไทย จำกัด ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 210041 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด และอยู่ในระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัดบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว ดังนั้นถึงแม้โจทก์จะดำเนินการให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ก็ไม่มีผลทำให้นิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 3 กับธนาคารทหารไทย จำกัด ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด นิติกรรมจำนองจะระงับสิ้นไปได้ก็แต่โดยมีการเพิกถอนหรือมีการไถ่ถอนจำนองโดยชอบ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์โดยปลอดจำนองได้จึงไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์จะบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ให้จำเลยที่ 1และที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยปลอดจำนองได้ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาประการต่อไปคือ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 988,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ได้โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีโดยการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 192645 ของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 3 จะขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินของจำเลยที่ 3 ไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้อง ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีของจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share