คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อความที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์ทั้งสองจะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งความย่อมหมายถึงเฉพาะข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามที่จำเลยแจ้ง และพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 173, 174
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าคดีของโจทก์ทั้งสองมีมูลหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองเบิกความยอมรับว่าได้ร่วมกับชาวบ้านเข้าไปในที่สาธารณประโยชน์โคกผป่าช้าและตัดต้นไม้ เพื่อจะสร้างศาลาพักศพจริง ซึ่งตรงกับที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกันทรวิชัย ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.1 โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากองค์การบริหารส่วนตำบลท่าขอนยางแล้ว แต่ตามสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการองค์การบริการส่วนตำบลท่าขอนยาง เอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า การก่อสร้างเมรุถาวรในที่สาธารณประโยชน์โคกป่าช้าจะต้องอนุมัติต่อทางราชการ เนื่องจากเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และโจทก์ที่ 1 ในฐานะกำนันตำบลท่าขอนยางก็ยอมรับว่ายังไม่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการดังกล่าวได้ การกระทำของโจทก์ทั้งสองกับพวกจึงเป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจได้ว่าเป็นการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ และทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ ดังนั้น ข้อความที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์ทั้งสองจะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงแจ้งเฉพาะข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามที่จำเลยแจ้ง และพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นความเท็จ คดีของโจทก์ทั้งสองจึงไม่มูล ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาอ้างว่าจำเลยแจ้งความเท็จจริงต่อพนักงานสอบสวนว่าได้ทราบเรื่องจากนายคำ ช่อประพันธ์ ซึ่งความจริงนายคำได้เสียชีวิตไปก่อนวันเกิดเหตุแล้วนั้น ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญในคดีนี้ไม่ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share