คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5207/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ชะลอความเร็วเมื่อมาถึงทางร่วมทางแยก แม้จะได้ความว่าทางเดินรถของฝ่ายแท็กซี่เป็นทางโทมีป้ายหยุดปักอยู่ตรงปากทางและผู้ขับรถแท็กซี่ไม่ได้หยุดรถของตนอันเป็นการกระทำโดยประมาทด้วยก็ตาม แต่การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกจะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในระดับความเร็วที่ต่ำหรือหยุดรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอันเกิดจากการชนระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับรถมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราที่สูงโดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความระมัดระวัง เมื่อจำเลยขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมทางแยกด้วยความเร็วสูงทำให้ชนกับรถยนต์คันที่ผู้ตายขับมาเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ย่อมถือได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความประมาทของจำเลยด้วย
พฤติการณ์ความประมาทของจำเลยค่อนข้างร้ายแรง และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน แม้จำเลยจะวางเงินให้แก่ทายาทของผู้ตายทั้งสามคนก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็มิใช่การวางเงินโดยยอมรับผิดในการกระทำของตน ทั้งเงินดังกล่าวก็เป็นค่าเสียหายส่วนแพ่งที่จำเลยอาจต้องรับผิดต่อทายาทของผู้ตายกรณียังไม่สมควร รอการลงโทษให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษบทหนัก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ม – 4994 ลพบุรี มีนางสมนึก กุลมงคล กับบุคคลอื่นอีกรวม 8 คน โดยสารมาด้วย มาตามถนนสายพระพุทธบาท – บ้านหมอ มุ่งหน้าไปทางอำเภอพระพุทธบาท เมื่อถึงที่เกิดเหตุบริเวณสี่แยกโรงปูนซีเมนต์เอเซียซึ่งเป็นทางร่วมทางแยก รถของจำเลยเฉี่ยวชนรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน มข 9665 กรุงเทพมหานคร มีนายคมสัน ฝางจีน เป็นผู้ขับ นายนิรันดร์ วงษ์ทา และเด็กชายกัมปนาท ขำทอง นั่งโดยสารมาด้วย เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันได้รับความเสียหาย นายคมสัน นายนิรันดร์ และเด็กชายกัมปนาทถึงแก่ความตาย ส่วนนางสมนึกได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสมนึก กุลมงคล และนายสมพร กองพิกุล ซึ่งโดยสารมากับรถคันที่จำเลยเป็นผู้ขับเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อมาถึงสี่แยกที่เกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงแล้วได้เฉี่ยวชนกับรถแทกซี่ในระยะกระชั้นชิด ร้อยตำรวจโททวีพงษ์ โพธิ์จิ๋ว พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์ทั้งสองคันตกอยู่ในคูน้ำ ตรวจสภาพรถยนต์พบว่ารถกระบะถูกชนบริเวณมุมหน้าข้างขวา ส่วนรถแท็กซี่ถูกชนบริเวณตรงกลางรถด้านซ้ายพบจำเลยแสดงตัวว่าเป็นผู้ขับรถกระบะอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนบุคคลที่อยู่ในรถแท็กซี่ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ตรงบริเวณกลางสี่แยกพบเศษชิ้นส่วนรถยนต์ทั้งสองคันตกอยู่ เชื่อว่าเป็นจุดที่รถทั้งสองคันชนกัน พบรอยครูดไปกับผิดถนนจากจุดที่พบชิ้นส่วนรถยนต์ยาวไปทางจุดที่รถยนต์ทั้งสองคันตกอยู่ข้างคูน้ำ ยาวประมาณ 4 เมตร รอยครูดนี้ไม่ใช่รอยเบรกและจากจุดชนไปจนถึงจุดที่รถทั้งสองคันตกอยู่ในคูน้ำห่างกันประมาณ 14 เมตร พยานทำแผนที่และทำบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุ ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.7 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีจราจรเอกสารหมาย จ.8 เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานแล้วพยานมีความเห็นว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์ทั้งสองคัน เห็นว่า ร้อยตำรวจโททวีพงษ์ไปตรวจที่เกิดเหตุในคืนเกิดเหตุและพบรถยนต์ทั้งสองคันตกอยู่ในคูน้ำ พบเศษชิ้นส่วนของรถยนต์ตกอยู่ที่ถนน พบรอยครูดและพบจำเลยด้วย แสดงว่าหลังเกิดเหตุชนกันแล้วยังไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายรถยนต์ทั้งสองคัน ร่อยรอยที่เกิดจากการเฉี่ยวชนกันยังอยู่ในที่เกิดเหตุ และเมื่อตรวจดูแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ตามเอกสารหมาย จ.7 ปรากฏข้อเท็จจริงตรงตามที่ร้อยตำรวจโททวีพงษ์เบิกความ ทั้งจำเลยซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยในขณะที่ร้อยตำรวจโททวีพงษ์ไปตรวจที่เกิดเหตุได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้อง เชื่อว่าร้อยตำรวจโททวีพงษ์เบิกความและทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.7 ไปตามที่พยานรู้เห็น ประกอบกับร้อยตำรวจโททวีพงษ์เป็นเจ้าพนักงานไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย คำเบิกความมีน้ำหนักให้รับฟัง ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.7 ว่ารถยนต์ทั้งสองคันชนกันบริเวณสี่แยกตรงจุดหมายเลข 1 หลังจากชนกันแล้วรถยนต์ทั้งสองคันไปตกในคูน้ำข้างถนนในทิศทางเดินรถของจำเลยประกอบกับร่องรอยการชนที่ปรากฏอยู่ที่ด้านหน้ารถยนต์ของจำเลยและด้านข้างตรงกลางด้านซ้ายของรถแท็กซี่เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่ารถยนต์ของจำเลยชนรถแท็กซี่ในขณะที่รถแท็ซี่ผ่านทางแยกเข้ามาก่อนรถกระบะของจำเลยแล้วลากพารถแทก็ซี่ไปตกในคูน้ำข้างถนน โดยจุดที่ชนกันนั้นอยู่เลยจากกลางสี่แยกมาแล้ว เมื่อไม่ปรากฏร่องรอยการเบรกคงมีแต่รอยครูดไปตามพื้นถนนกับสภาพความเสียหายของรถยนต์ทั้งสองคันที่มีความเสียหายอย่างมาก แสดงว่ารถยนต์ของจำเลยชนรถแท็กซี่อย่างแรง ที่นางสมนึกและนายสมพรเบิกความว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่งโมง และเมื่อถึงสี่แยกที่เกิดเหตุได้ลดความเร็วลงจึงไม่สอดคล้องกับร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้น พยานสองปากนี้เป็นแม่ยายและเป็นน้องภรรยาของจำเลยโดยสารมากับรถยนต์คันที่จำเลยขับถือว่าเป็นญาติมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยย่อมเบิกความไปในทางเป็นคุณแก่จำเลย จึงมีน้ำหนักน้อย นอกจากนี้เมื่อเกิดเหตุชนกันแล้วรถยนต์ทั้งสองคันไปตกอยู่ในคูน้ำห่างจากจุดชนไปอีก 14 เมตร แสดงว่ารถยนต์คันที่จำเลยขับแล่นมาด้วยความเร็วสูงและมิได้ชะลอความเร็วแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ชะลอความเร็วเมื่อมาถึงทางร่วมทางแยก แม้จะได้ความว่าทางเดินรถของฝ่ายรถแท็กซี่เป็นทางโทมีป้ายหยุดปักอยู่ตรงปากทางและนายคมสันผู้ขับรถแท็กซี่ไม่ได้หยุดรถของตนอันเป็นการกระทำโดยประมาทด้วยก็ตาม แต่การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่รถทุกเส้นทางที่มาบรรจบทางร่วมทางแยกจะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในระดับความเร็วที่ต่ำหรือหยุดรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอันเกิดจากการชนกันระหว่างรถที่กำลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับรถมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราที่สูงโดยขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความระมัดระวัง เมื่อจำเลยขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วมทางแยกด้วยความเร็วสูงทำให้ชนกับรถยนต์คันที่ผู้ตายขับมาเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ย่อมถือได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความประมาทของจำเลยด้วย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุอันสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์ความประมาทของจำเลยค่อนข้างร้ายแรง และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน แม้จำเลยจะวางเงินให้แก่ทายาทของผู้ตายทั้งสามคนละ 10,000 บาท ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็มิใช่การวางเงินโดยยอมรับผิดในการกระทำของตน ทั้งเงินดังกล่าวก็เป็นค่าเสียหายส่วนแพ่งที่จำเลยอาจต้องรับผิดต่อทายาทของผู้ตาย กรณียังไม่สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย อย่างไรก็ตามคดีนี้ได้ความว่าฝ่ายคนขับรถแท็กซี่มีส่วนประมาทอยู่ด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรวางโทษแก่จำเลยเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว จงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share