แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 เป็นบทบัญญัติที่ต้องการคุ้มครองนายจ้างที่ประสบปัญหาในการดำเนินกิจการมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว โดยนายจ้างยังมีความประสงค์จะประกอบกิจการของตนต่อไปอีกเพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของนายจ้าง จึงให้นายจ้างรับภาระจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างในระหว่างการหยุดงานเพียงไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้าง แต่ก็เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองประโยชน์ลูกจ้างด้วย ซึ่งหากไม่มีบทบัญญัติดังกล่าวนายจ้างอาจไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานทั้งหมดได้ จำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ก็จะทำให้ลูกจ้างไม่มีงานทำได้รับความเดือดร้อน เหตุที่นายจ้างจะยกความจำเป็นขึ้นอ้างเพื่อหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวจะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป หาใช่ว่าจะต้องมาจากสาเหตุที่นายจ้างประสบปัญหาการขาดทุนเพียงประการเดียวไม่
การที่กิจการของจำเลยซึ่งผลิตเครื่องหนังโดยมีเครื่องหมายการค้าของผู้สั่งซื้อจากต่างประเทศต้องผลิตตามคำสั่งซื้อตามความประสงค์ของผู้สั่งซื้อโดยไม่อาจเตรียมไว้ล่วงหน้า เมื่อมีคำสั่งซื้อสินค้าน้อยลงและขาดช่วง เพราะต้องรอวัตถุดิบจากต่างประเทศ ทำให้เกิดช่วงเวลาที่ต้องรอวัตถุดิบในการผลิต จำเลยจึงต้องปิดโรงงานผลิตไปบางส่วน และหยุดกิจการบางส่วนโดยไม่ได้เลือกปฏิบัติ อันเป็นความจำเป็นที่มีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของจำเลยอย่างมาก จำเลยย่อมหยุดกิจการบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ตามมาตรา 75 นี้
ย่อยาว
คดีทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองสำนวนนี้เดิมศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีหมายเลขดำที่ 210/2548 ของศาลแรงงานกลาง โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 123 แต่โจทก์ที่ 90 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวขอถอนฟ้อง คดีสำหรับโจทก์ที่ 90 จึงยุติไปแล้วในศาลแรงงานกลาง คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีหนึ่งร้อยยี่สิบสองสำนวนนี้
โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยสั่งให้โจทก์แต่ละคนหยุดงานจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 89 และที่ 91 ถึงที่ 123 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองว่า จำเลยมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการบางส่วนเป็นการชั่วคราวหรือไม่ โดยโจทก์ดังกล่าวอุทธรณ์ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 ต้องการคุ้มครองนายจ้างที่ประกอบกิจการโดยสุจริตแต่ประสบปัญหาการขาดทุน การที่จำเลยหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุแต่เพียงสั่งวัตถุดิบเข้ามาไม่ทันจึงไม่เป็นเหตุที่จะคุ้มครองจำเลย เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่มิใช่เหตุสุดวิสัย ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน” ตามมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่ต้องการคุ้มครองนายจ้างในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหาในการดำเนินกิจการ มีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว โดยนายจ้างยังมีความประสงค์จะประกอบกิจการของตนต่อไปอีก เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของนายจ้าง จึงให้นายจ้างรับภาระจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างในระหว่างการหยุดงานเพียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของค่าจ้างโดยไม่จำต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเต็มจำนวนในระหว่างที่หยุดกิจการนั้น ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองประโยชน์ลูกจ้างด้วย ซึ่งหากไม่มีบทบัญญัติดังกล่าวนายจ้างอาจไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานทั้งหมดได้ จำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ก็จะทำให้ลูกจ้างไม่มีงานทำ ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อน สำหรับความจำเป็นของนายจ้างที่จะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้จะต้องมีความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างอย่างมาก ทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการตามปกติได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเหตุความจำเป็นที่นายจ้างอ้างเพื่อหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวเป็นกรณีไป หาใช่ความจำเป็นที่นายจ้างจะหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ จะต้องมาจากสาเหตุที่นายจ้างประสบปัญหาการขาดทุนเพียงประการเดียวเท่านั้นดังที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองอุทธรณ์ไม่
กรณีของจำเลยปรากฏว่า จำเลยผลิตกระเป๋าโดยไม่มีเครื่องหมายการค้าเป็นของจำเลยเอง แต่ผลิตตามคำสั่งซื้อของผู้ซื้อจากต่างประเทศ เครื่องหนังและผ้าที่ใช้ในการผลิตกระเป๋าส่วนมากจะมีตราเครื่องหมายการค้าของผู้สั่งซื้อสินค้าติดอยู่ ซึ่งต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ แสดงว่าถ้าไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศจำเลยก็ไม่ได้ผลิตสินค้า แต่ถ้ามีคำสั่งซื้อเข้ามาจำเลยก็ต้องสั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิตสินค้าตามความประสงค์ของผู้สั่งซื้อ โดยไม่อาจสั่งวัตถุดิบเตรียมไว้ล่วงหน้าได้เพราะไม่รู้ว่าการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง ผู้สั่งซื้อจะสั่งให้ผลิตสินค้าในรูปแบบใด เป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งอาจไม่ใช่สินค้าแบบที่เคยสั่งซื้อก็ได้ ปรากฏว่านับแต่ปี 2547 เป็นต้นมาจำเลยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องปิดโรงงานผลิตไปบางส่วน มีคำสั่งซื้อสินค้าน้อยลงและขาดช่วงหรือบางครั้งก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เกิดมีช่วงเวลาที่ต้องรอวัตถุดิบในการผลิตส่งผลให้ไม่มีงานให้ลูกจ้างทำในขั้นตอนแรก ๆ ของการผลิต และมีผลไปถึงขั้นตอนต่อไปของการผลิตด้วย ดังนั้น การที่จำเลยหยุดกิจการบางส่วนแล้วสั่งให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองหยุดงานเป็นการชั่วคราว โดยไม่ได้เลือกปฏิบัติเพื่อรอวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตสินค้าดังเหตุผลที่กล่าวมา จึงเป็นความจำเป็นที่สำคัญอันจะมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของจำเลยอย่างมาก จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.