คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นอันเพิกถอนไปได้ ผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที กรณีมิใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือว่างเงินค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ที่ศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์มา ก็ไม่มีผลทำให้อุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ชอบแล้ว และศาลฎีกาก็ไม่อาจกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณา หลังจากเสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์แล้ว ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยแล้วมีคำพิพากษาในวันเดียวกันให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่ได้ขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาและมีการพิจารณาไปฝ่ายเดียว จึงไม่อาจขอพิจารณาคดีใหม่ตามกฎหมายได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จำเลยมิได้เจตนาที่จะละเลยเพิกเฉยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โดยมิได้สั่งให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมก่อน ดังนั้นหากต้องวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็ขอให้ศาลฎีกากำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลต่อไปด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติว่า “การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย…” แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นอันเพิกถอนไปได้ มีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นด้วย เมื่อจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์นั้น ศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยได้ทันทีโดยไม่จำต้องกำหนดเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวเสียก่อน กรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางเงินค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมาโดยมิได้สั่งให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อนก็ไม่มีผลทำให้อุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว กรณีเช่นว่านี้ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลตามฎีกาของจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share