แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำให้การของจำเลยไม่มีลายมือชื่อจำเลยหรือทนายจำเลยผู้ยื่นคำให้การ ไม่มีลายมือชื่อทนายจำเลยผู้เรียง และไม่มีลายมือชื่อผู้พิมพ์ เป็นคำคู่ความที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 (5) การที่ทนายจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในช่องหมายเหตุท้ายคำให้การจำเลยแผ่นแรกที่มีข้อความระบุว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” นั้น มิใช่เป็นการลงลายมือชื่อในคำคู่ความตามความหมายของมาตรา 67 (5) ศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยฉบับดังกล่าวโดยไม่คืนไปให้จำเลยทำมาใหม่ หรือให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียให้ถูกต้อง จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 18 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องเสียก่อนจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านเลขที่ 53/3 หมู่ที่ 5 ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 14,000 บาท แก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายอัตราเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท
จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายตามคำฟ้องไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ และพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยไม่ชอบ เนื่องจากคำให้การจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์ ต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การนั้น ปรากฏว่าคำให้การจำเลยแผ่นแรกมีลายมือชื่อทนายจำเลย ส่วนลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์เป็นเรื่องของคำฟ้องคดีอาญาเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยจึงชอบแล้ว และวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายตามคำฟ้องตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลยฉบับลงวันที่ 4 เมษายน 2543 ไว้พิจารณา แต่ปรากฏว่าคำให้การจำเลยฉบับดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อจำเลยหรือทนายจำเลยผู้ยื่นคำให้การ ไม่มีลายมือชื่อทนายจำเลยผู้เรียง และไม่มีลายมือชื่อผู้พิมพ์ จึงเป็นคำคู่ความที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67 (5) การที่ทนายจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในช่องหมายเหตุท้ายคำให้การจำเลยแผ่นแรกที่มีข้อความระบุว่า “ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” นั้น เห็นว่า หาใช่เป็นการลงลายมือชื่อในคำคู่ความตามความหมายของมาตรา 67 (5) ไม่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยฉบับดังกล่าวโดยไม่คืนไปให้จำเลยทำมาใหม่ หรือให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียให้ถูกต้องจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยมาชอบแล้วนั้น จึงไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไปโดยที่ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องของคำคู่ความดังกล่าวให้บริบูรณ์เสียก่อนจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ควรพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยให้จำเลยลงลายมือชื่อในคำให้การเสียให้บริบูรณ์แล้วพิพากษาใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชี้ขาดตัดสินฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ไปโดยที่ยังมิได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องของคำคู่ความดังกล่าวให้บริบูรณ์เสียก่อน จึงเป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงลายมือชื่อในคำให้การเสียให้บริบูรณ์ตามกฎหมายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่