คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2178/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนรับจำนองที่ดิน และโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยเปลี่ยนชื่อผู้รับจำนองมาเป็นชื่อโจทก์อันเป็นเรื่องตัวการฟ้องเรียกทรัพย์สินจากจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 810 แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้โดยไม่ขัดต่อมาตรา 798

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์ได้เชิดจำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์และครอบครัว ให้เป็นตัวแทนรับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 217 จากนายสัมฤทธิ์ ทุมมณี ซึ่งเป็นญาติโจทก์ และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2537 โจทก์ก็ได้เชิดจำเลยให้เป็นตัวแทนรับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 215 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี จากนางสนิท ปาทาน ญาติโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้จ่ายเงินให้นายสัมฤทธิ์และนางสนิทไปแล้วในวันที่ได้จดทะเบียนจำนอง โจทก์เป็นผู้เก็บสัญญาจำนองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังกล่าว ต่อมาโจทก์มีความเห็นไม่ตรงกับจำเลย จึงขอให้จำเลยเปลี่ยนชื่อผู้รับจำนองมาเป็นชื่อจำเลยในฐานะตัวแทนเชิดรับจำนองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 215 และ 217 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลธานี เป็นชื่อโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อดังกล่าวหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับจำนองที่ดินทั้ง 2 แปลงตามฟ้องไว้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้รับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 215 และ 217 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลธานี จากจำเลยในฐานะตัวแทนเชิดมาเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความทั้งสองศาล รวม 4,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่คู่ความนำสืบรับกัน และฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า นายสัมฤทธิ์ ทุมมณี กับนางสนิท ปาทาน เป็นน้องของนายอัมพร ทุมมณี บิดาโจทก์ จำเลยเคยทำหน้าที่เป็นทนายความว่าคดีให้แก่นายอัมพรและนางสุกใส ทุมมณี บิดามารดาของโจทก์ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2530 จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวอัจฉรา สิงหเสนี บุตรสาวของนายสมชายกับนางบังอร สิงหเสนี แต่จำเลยกับโจทก์ได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันและต่อมาจำเลยได้พาโจทก์ไปจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานทะเบียนอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2536 ครั้นวันที่ 1 เมษายน 2540 ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้มีคำพิพากษาให้การสมรสระหว่างจำเลยกับโจทก์เป็นโมฆะ สำหรับสัญญาจำนองตามฟ้องนั้น เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537 และวันที่ 20 เมษายน 2537 นายสัมฤทธิ์และนางสนิทได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 217 และ 215 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แก่จำเลย จำนวนเงิน 1,240,000 บาท และ 1,500,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.8 ตามลำดับ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยรับจำนองที่ดิน 2 แปลง ตามฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์หรือไม่… ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรับจำนองที่ดิน 2 แปลงตามฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า การตั้งตัวแทนเพื่อรับจำนองที่ดินต้องทำเป็นหนังสือแต่โจทก์ไม่มีหลักฐานเช่นนั้นจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องพิพาทกันระหว่างโจทก์ตัวการและจำเลยตัวแทนโดยโจทก์ให้จำเลยเป็นตัวแทนรับจำนองที่ดิน และโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยเปลี่ยนชื่อผู้รับจำนองมาเป็นชื่อโจทก์อันเป็นเรื่องตัวการฟ้องเรียกทรัพย์สินจากจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้โดยไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นๆ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์

Share