คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2550

แหล่งที่มา :

ย่อสั้น

โจทก์นำจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งสองฉบับมาฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกันแต่เป็นกรณีที่โจทก์ขายที่ดินคนละเดือนภาษีกัน ต้องถือว่าการฟ้องแต่ละเดือนภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะและตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นเป็นคนละข้อต่างหากจากกัน สิทธิในการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงจึงต้องพิจารณาจากจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แต่ละฉบับ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับที่เกินกว่า 50,000 บาท จึงอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 25

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2538 โจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5413 และ 5414 และที่ดินโฉนดเลขที่ 10705 ต่อมาจำเลยได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นเงิน 105,600 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีมกราคม 2538 เป็นเงินภาษี 9,000 บาท เบี้ยปรับ 9,000 บาท เงินเพิ่ม 9,000 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 2,700 บาท รวมเป็นเงิน 29,700 บาท และให้ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีมีนาคม 2538 เป็นเงินภาษี 15,000 บาท เบี้ยปรับ 15,000 บาท เงินเพิ่ม 15,000 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 4,500 บาท รวมเป็นเงิน 49,500 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้องเนื่องจากที่ดินที่โจทก์ขายเป็นที่ดินที่ใช้ในเกษตรกรรม จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มาตรา 3 (5) ขอให้เพิกถอนคำสั่งเรียกเก็บภาษีทั้งสิ้นตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ 1./(อธ.2)/122/2546 และเลขที่ สภ 1./(อธ.2) 123/2546
จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2534 โจทก์ได้ซื้อที่ดินมีโฉนดรวม 6 แปลง ต่อมาโจทก์ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5413 และ 5414 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2538 และขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10704 ถึง 10707 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีนี้แม้โจทก์นำจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งสองฉบับมาฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกัน แต่เป็นกรณีที่โจทก์ขายที่ดินคนละเดือนภาษีกัน ต้องถือว่าการฟ้องแต่ละเดือนภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะและตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นเป็นคนละข้อหาต่างหากจากกัน สิทธิในการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงจึงต้องพิจารณาจากจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แต่ละฉบับ ซึ่งจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับที่เกินกว่า 50,000 บาท คู่ความจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 25 คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์แต่ละฉบับมีจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ขายที่ดินเป็นทางค้าหรือหากำไรจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีมิใช่เป็นการขายที่ดินที่โจทก์ใช้ในเกษตรกรรมที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังได้ว่า ที่ดินที่ขายใช้ในเกษตรกรรม เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลภาษีอากรกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 เป็นกฎหมายมหาชนต้องตีความโดยเคร่งครัด ข้อยกเว้นตามมาตรา 3 (5) ที่ว่าไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้นั้นใช้ในเกษตรกรรมนั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าไม่รวมถึงที่ดินที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ปลูกต้นไม้เป็นปกติในที่ดินจึงเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าวแล้วนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลภาษีอากรกลาง โดยประสงค์ให้ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรรับฟังข้อเท็จจริงไปตามพยานหลักฐานของโจทก์เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลภาษีอากรกลางรับอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีอากรไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

Share