แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมาย โดยฟังข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ฟังมาเป็นยุติว่า โจทก์เลิกจ้างเพราะผู้กล่าวหาไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา และเรื่องโจทก์ประสบภาวะขาดทุนโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างมาแต่แรกในหนังสือเลิกจ้าง ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาเพราะผู้กล่าวหาขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และโจทก์ขาดทุน อีกทั้งเป็นการเลิกจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 41 (4) ให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างในการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนายจ้างได้และตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่ได้กำหนดให้ถือเอาเงินช่วยเหลือพิเศษที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นเงินค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำอันไม่เป็นธรรม เงินช่วยเหลือพิเศษดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้กล่าวหาเป็นกรณีพิเศษที่โจทก์เลิกจ้างโดยไม่มีความผิดเท่านั้น จึงเป็นการจ่ายเงินคนละกรณีกัน โจทก์จะถือว่าการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษเป็นการจ่ายค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ และเมื่อจำเลยในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้พิจารณากำหนดค่าเสียหายโดยการนำเอาเงินช่วยเหลือพิเศษที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างแล้วมาประกอบการพิจารณาด้วย ย่อมเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว และมิใช่กรณีที่จำเลยกำหนดค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างผู้กล่าวหาเกินไปกว่าคำร้องขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 และวันที่ 13 มิถุนายน 2543 นางสาวนฤมล ครุฑอุ่น กับพวกรวม 63 คน และนางสาวเกวารีย์ คงสมบูรณ์ กับพวกรวม 7 คน ได้ร้องกล่าวหาโจทก์ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งจำเลยทั้งสิบสองเป็นกรรมการว่าถูกโจทก์เลิกจ้างเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสิบสองวินิจฉัยชี้ขาดตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 1183-1252/2543 ว่า การที่โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาที่ 1 ถึงที่ 53 และที่ 64 ถึงที่ 69 เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 ส่วนผู้กล่าวหาที่ 54 ถึงที่ 60 ที่ 62 ที่ 63 และที่ 70 ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่อาจยื่นคำร้องกล่าวหาโจทก์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 124 และการที่โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาที่ 1 ถึงที่ 15 ที่ 17 ที่ 19 ถึงที่ 37 ที่ 39 ถึงที่ 45 ที่ 47 ที่ 49 ถึงที่ 53 ที่ 61 และที่ 65 ถึงที่ 68 เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 ให้ยกคำร้องของผู้กล่าวหาที่ 16 ที่ 18 ที่ 38 ที่ 46 ที่ 48 ที่ 54 ถึงที่ 60 ที่ 62 ถึงที่ 64 ที่ 69 และที่ 70 กับให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้กล่าวหาที่ 1 ถึงที่ 15 ที่ 17 ที่ 19 ถึงที่ 37 ที่ 39 ถึงที่ 45 ที่ 47 ที่ 49 ถึงที่ 53 ที่ 61 และที่ 65 ถึงที่ 68 เป็นเงิน 1,518,488 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากโจทก์เลิกจ้างพนักงานรวมทั้งผู้กล่าวหาเนื่องจากโจทก์ประสบภาวะขาดทุน การเลิกจ้างพิจารณาจากประสิทธิภาพการทำงาน การขาดงานมาสายตลอดจนความเหมาะสมอื่น ๆ โดยให้หัวหน้าเป็นผู้ร่วมพิจารณา คำสั่งของจำเลยทั้งสิบสองไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่ได้มีการสอบข้อเท็จจริงจากผู้กล่าวหา แต่สอบพยานเฉพาะผู้รับมอบอำนาจจากผู้กล่าวหา คำร้องกล่าวหาไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากลายมือชื่อผู้กล่าวหาเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์ชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องการเลิกจ้างเนื่องจากปัญหาการขาดทุนแล้ว แต่จำเลยทั้งสิบสองไม่ได้นำเหตุดังกล่าวมาพิจารณา โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้ระบุเหตุการขาดทุนไว้ในหนังสือเลิกจ้าง ก่อนเลิกจ้างโจทก์เรียกกรรมการสหภาพแรงงานและกรรมการลูกจ้างเข้าร่วมรับทราบในวันเลิกจ้างด้วย โจทก์ไม่ได้เลิกจ้างผู้กล่าวหาเนื่องจากไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา โจทก์มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการทำงานตกลงจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษให้แก่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์เลิกจ้างพนักงานตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว ไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสิบสองกำหนดค่าเสียหายขึ้นมาเอง เป็นค่าเสียหายที่ไม่เป็นความจริงและผู้กล่าวหาไม่ได้พิสูจน์ เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 นอกจากนี้จำเลยทั้งสิบสองกำหนดค่าเสียหายเกินกว่าคำขอของผู้กล่าวหา ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสิบสองและคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 1183-1252/2543 ฉบับลงวันที่ 27 กันยายน 2543 และหรือให้ถือเอาเงินช่วยเหลือพิเศษที่โจทก์จ่ายตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนอกเหนือจากค่าชดเชยที่โจทก์จ่ายให้แก่ผู้กล่าวหาเป็นค่าเสียหายที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยทั้งสิบสองให้การว่า คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 1183-1252/2543 เป็นคำสั่งที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว หนังสือเลิกจ้างมีข้อความระบุว่าโจทก์เลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากขาดประสิทธิภาพและขาดคุณสมบัติ แต่โจทก์ยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ว่าประสบปัญหาขาดทุนในการประกอบกิจการ เป็นการกล่าวอ้างภายหลังจากมีคำสั่งเลิกจ้างแล้ว โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่าลายมือชื่อของลูกจ้างที่กล่าวหารายใดบ้างที่เป็นลายมือชื่อปลอมจึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเลิกจ้างเป็นธรรมต่อลูกจ้างเพราะมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างขึ้นมาใหม่ และไม่ปรากฏหลักฐานในคำสั่ง จึงไม่อาจรับฟังได้ การวินิจฉัยของจำเลยถูกต้องชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว ส่วนการกำหนดค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างเป็นอำนาจของจำเลย ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาที่ 1 ถึงที่ 15 ที่ 17 ที่ 19 ถึงที่ 37 ที่ 39 ถึงที่ 45 ที่ 47 ที่ 49 ถึงที่ 53 ที่ 61 และที่ 65 ถึงที่ 68 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในระหว่างที่ตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ ในการเลิกจ้างลูกจ้างดังกล่าวโจทก์อ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างว่า ลูกจ้างขาดประสิทธิภาพและไม่เหมาะสมที่จะเป็นพนักงานของโจทก์ ในการเลิกจ้างโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษกรณีเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ตามเอกสารหมาย จ.4
โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่า โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาตามกฎหมายและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เอกสารหมาย จ.4 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ฟังมาเป็นยุติว่า โจทก์เลิกจ้างเพราะผู้กล่าวหาไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา และเรื่องโจทก์ประสบภาวะขาดทุนโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างมาแต่แรกในหนังสือเลิกจ้าง ดังนั้น ที่โจทก์อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า โจทก์เลิกจ้างผู้กล่าวหาเพราะผู้กล่าวหาขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และโจทก์ขาดทุน อีกทั้งเป็นการเลิกจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เอกสารหมาย จ.4 จึงเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการต่อมาว่า โจทก์ได้จ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษให้แก่ลูกจ้างผู้กล่าวหา ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.4 แล้ว ผู้กล่าวหาย่อมไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 41 (4) อีก เห็นว่า พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 41 (4) ให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างในการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนายจ้างได้ และตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.4 ก็ไม่ได้กำหนดให้ถือเอาเงินช่วยเหลือพิเศษที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นเงินค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมของนายจ้าง เงินช่วยเหลือพิเศษดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้กล่าวหาเป็นกรณีพิเศษที่โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีความผิดเท่านั้น ส่วนเงินค่าเสียหายตามมาตรา 41 (4) เป็นค่าเสียหายที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างที่นายจ้างมีการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้างนั้น จึงเป็นการจ่ายเงินคนละกรณีกัน โจทก์จะถือว่าการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.4 เป็นการจ่ายค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมไม่ได้โจทก์ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และเมื่อจำเลยทั้งสิบสองในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้พิจารณากำหนดค่าเสียหายโดยการนำเอาเงินช่วยเหลือพิเศษดังกล่าวที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างแล้วมาประกอบการพิจารณาด้วย ย่อมเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว และมิใช่กรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กำหนดค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างผู้กล่าวหาเกินไปกว่าคำร้องขอดังที่โจทก์อุทธรณ์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.