แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะตกแก่ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้วจึงถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ซึ่งกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อ จนกว่าผู้ซื้อจะชำระราคาครบถ้วน ทรัพย์สินที่ซื้อขายโดยมีเงื่อนไขจะโอนกรรมสิทธิ์ในภายหน้ากันนั้น ผู้ขายอาจนำทรัพย์สินที่จะมีกรรมสิทธิ์ในอนาคตออกขายล่วงหน้าได้ และเป็นหน้าที่ของผู้ขายที่ต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อปฏิบัติการเป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว ผู้ขายจึงไม่จำต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอยู่ในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทโดยให้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกันภายหน้า แม้ขณะทำสัญญาโจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่สมบูรณ์ สัญญาก็มีผลใช้บังคับได้ การที่จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาให้แก่โจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2543 จำเลยที่ 1 กับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ผ-5414 อุบลราชธานี ในราคา 244,000 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็นงวดงวดละเดือนรวม 48 เดือน ชำระภายในวันที่ 15 ของเดือน ติดต่อกันไปจนกว่าจะครบในอัตราเดือนละ 5,100 บาท และงวดสุดท้ายชำระ 4,300 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2543 โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 1 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในสัญญา รวมถึงการชำระราคาให้ครบถ้วนตามสัญญาซื้อขายด้วย หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคารถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนดให้ถือว่าสัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกัน โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องมีหนังสือบอกกล่าวและยอมให้โจทก์ริบเงินที่ชำระมาแล้วทั้งหมด และจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่ซื้อคืนแก่โจทก์ในทันที จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์เพียงงวดเดียวและผิดนัดไม่ชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 2 โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระราคารถยนต์แก่โจทก์แต่ก็เพิกเฉย โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ตั้งแต่งวดที่ 3 จำเลยทั้งสองทราบแล้วแต่ก็เพิกเฉย การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์ใช้สอยซึ่งโจทก์สามารถนำไปให้บุคคลอื่นเช่าได้ ค่าขาดประโยชน์นับแต่บอกเลิกสัญญาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2543 ถึงวันฟ้องในอัตราเดือนละ 5,000 บาท รวม 36 เดือน เป็นเงินค่าขาดประโยชน์ 180,000 บาท จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ต้องชดใช้ราคาจำนวน 238,900 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 418,900 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการชำระหนี้ดังกล่าว ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 180,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบคืนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ผ-5414 อุบลราชธานี แก่โจทก์ ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งมอบคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาเป็นเงิน 238,900 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ผ-5414 อุบลราชธานี แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินไปจากโจทก์จำนวน 100,000 บาท โดยโจทก์หักเป็นค่าดอกเบี้ยจำนวน 20,000 บาท ได้รับเงินจริงเพียง 80,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ผ-5414 อุบลราชธานี และได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันการกู้เงินพร้อมกับมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 2 ไม่ได้ค้ำประกันการซื้อขายรถยนต์ ปัจจุบันได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวไปใช้ประกอบธุรกิจ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่อ้างว่าขายให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ผ-5414 อุบลราชธานี กับโจทก์ในราคา 244,000 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ 5,100 บาท งวดสุดท้ายเดือนละ 4,300 บาท รวม 48 งวด เริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 15 ตุลาคม 2543 งวดต่อไปทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน โดยมีข้อตกลงกันว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 1 จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญารวมถึงการชำระเงินให้ครบถ้วนด้วย ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 โดยในขณะทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวมีชื่อนางสาวละออง ลำโกน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 คดีมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะขณะทำสัญญาซื้อขายโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทหรือไม่ เห็นว่า สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะตกแก่ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว กรณีจึงถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ซึ่งกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าผู้ซื้อจะชำระราคาครบถ้วนตามงวด ทรัพย์สินที่ซื้อขายโดยมีเงื่อนไขจะโอนกรรมสิทธิ์ในภายหน้ากันนั้น ผู้ขายอาจนำทรัพย์สินที่จะมีกรรมสิทธิ์ในอนาคตออกขายล่วงหน้าได้ และเป็นหน้าที่ของผู้ขายที่ต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อปฏิบัติการเป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว ผู้ขายจึงไม่จำต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอยู่ในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทโดยให้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกันภายหน้า แม้ขณะทำสัญญาโจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่สมบูรณ์ สัญญาก็มีผลใช้บังคับได้เพราะเมื่อสัญญาถึงกำหนดหากโจทก์ผิดสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ จำเลยที่ 1 ก็สามารถให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแทนการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายได้ เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มีผลใช้บังคับกันได้ การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาให้แก่โจทก์ตามกำหนดจนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวฟังขึ้น ศาลฎีกาก็ยังไม่มีอำนาจวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามฟ้องโจทก์ได้ เนื่องจากมีประเด็นข้อพิพาทอีกหลายข้อที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นเหล่านั้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.