คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5819/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การปรับเป็นโทษอย่างหนึ่ง เมื่อศาลลงโทษปรับและมีการชำระค่าปรับครบถ้วนแล้วในวันเวลาใด ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษนับแต่วันที่ชำระค่าปรับนั้นแล้ว การที่จำเลยพ้นโทษปรับฐานเล่นการพนันยังไม่ครบกำหนด 3 ปี แล้วมา กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 อีก จึงเข้าหลักเกณฑ์ต้องวางโทษทั้งจำทั้งปรับตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 14 ทวิ อนุมาตรา (1) หรือ (2) แล้วแต่กรณี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเล่นการพนันอีโปงครอบตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ริบของกลาง จ่ายเงินสินบนตามกฎหมายและวางโทษทั้งจำทั้งปรับจำเลยที่ 3 ตามกฎหมายด้วย
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 3 รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 14 ทวิ, 15 จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ปรับคนละ 600 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ ให้จำเลยทั้งสามจ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับแก่ผู้นำจับ จำเลยที่ 3ถูกพิพากษาลงโทษปรับ 600 บาท ในคดีก่อนมิใช่โทษจำคุก จึงไม่ถือว่าจำเลยที่ 3 พ้นโทษในคดีดังกล่าว ไม่อาจลงโทษทั้งจำทั้งปรับได้คำขอนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ให้วางโทษจำเลยที่ 1 ทั้งจำทั้งปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้วางโทษจำเลยที่ 3 ทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา14 ทวิ (2) พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2485 มาตรา 3ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 เคยต้องโทษฐานเล่นการพนันอีโปงครอบศาลพิพากษาปรับ 600 บาท จำเลยที่ 3 พ้นโทษมายังไม่ครบกำหนด 3 ปีกลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจะวางโทษจำเลยที่ 3 ทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา14 ทวิ (2) ที่แก้ไขแล้วหรือไม่ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478มาตรา 14 ทวิ ที่แก้ไขแล้วบัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกำหนดสามปีกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัตินี้อีก (1)…..(2) ถ้าโทษซึ่งกำหนดไว้สำหรับความผิดที่กระทำครั้งหลังเป็นโทษจำคุกหรือปรับ ให้วางโทษทั้งจำทั้งปรับ” ศาลฎีกาเห็นว่า การปรับถือเป็นโทษอย่างหนึ่งในจำพวกโทษทั้ง 5 ชนิด ที่ลงแก่ผู้กระทำผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(4) เมื่อศาลลงโทษปรับจำเลยและมีการชำระค่าปรับครบถ้วนแล้วในวันเวลาใดย่อมถือได้ว่าจำเลยได้พ้นโทษนับแต่วันที่ชำระค่าปรับนั้นแล้ว ฉะนั้น หากจำเลยพ้นโทษปรับแล้วยังไม่ครบกำหนด 3 ปี มากระทำต่อพระราชบัญญัติการพนันนี้อีก จึงเข้าหลักเกณฑ์ต้องวางโทษทั้งจำทั้งปรับตามวิธีการที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 14 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติไว้ในอนุมาตรา(0) หรือ (2) แล้วแต่กรณี ที่ศาลล่างทั้งสองไม่วางโทษทั้งจำทั้งปรับจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า วางโทษจำเลยที่ 3 ทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 14 ทวิ (2) ที่แก้ไขแล้วโดยให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 1,200 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 600 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share