แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ได้กล่าวแก้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 240 (3) ประกอบมาตรา 247
โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินตามสัญญาซื้อขายและบันทึกข้อตกลงการซื้อขายโรงน้ำแข็ง ส่วนคดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายและบันทึกข้อตกลงการซื้อขายโรงน้ำแข็งในส่วนที่เหลือ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงเป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาอันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายและบันทึกข้อตกลงการซื้อขายโรงงานน้ำแข็งฉบับเดียวกัน ประเด็นที่ต้องพิจารณาจึงมาจากมูลฐานเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาหรือไม่ เมื่อภาษีธุรกิจเฉพาะที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดนี้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/2 (6) และ 91/10 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น ผู้มีรายรับซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมกับชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และโจทก์สามารถตรวจสอบหรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้ จึงถือว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยทั้งสองได้ในคดีดังกล่าว แต่โจทก์มิได้ฟ้อง ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามมิให้คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 581,020 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 572,550 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 466/2538 ของศาลแพ่งธนบุรีหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องเพราะศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ได้กล่าวแก้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (3) ประกอบมาตรา 247 พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายอสังหาริมทรัพย์ คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 15852 ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร ส่วนคดีหมายเลขแดงที่ 466/2538 ของศาลแพ่งธนบุรี ข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา คือ จำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายและบันทึกข้อตกลงการซื้อขายโรงงานน้ำแข็งในส่วนที่เหลือ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เห็นได้ว่า ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาอันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายและบันทึกข้อตกลงการซื้อขายโรงงานน้ำแข็งฉบับเดียวกัน ประเด็นที่ต้องพิจารณาจึงมาจากมูลฐานเดียวกัน คือ จำเลยทั้งสองผิดสัญญาหรือไม่ ภาษีธุรกิจเฉพาะที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดนี้มีรายรับซึ่งมีหน้าที่เรียกภาษีต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมกับชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (6) และ 91/10 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นและโจทก์สามารถตรวจสอบหรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้ จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 466/2538 ของศาลแพ่งธนบุรีแล้ว ซึ่งโจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยทั้งสองได้ในคดีดังกล่าวแต่โจทก์หาฟ้องไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 466/2538 ของศาลแพ่งธนบุรี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ