แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
มูลหนี้เดิมที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นสัญญากู้เงินตามฟ้อง เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 350 จำเลยต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ จะอ้างว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เงินเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
การนำสืบว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามสัญญากู้ตามฟ้องไม่เป็นการต้องห้าม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 1,200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์ติดตามทวงถามและมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,352,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินกู้จากโจทก์ตามสัญญากู้แต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน 152,500 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ จึงให้บังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันตามฟ้องไว้แก่โจทก์ ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวหรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานและมีนางบุญรัตน์ อุดมรัตนศิริชัย ภริยาโจทก์เป็นพยานเบิกความได้ความว่า เดิมนางประครอง เมฆพัฒน์ และนางสาวนงนุช เมฆพัฒน์ กู้เงิน 1,870,000 บาท จากโจทก์และนางบุญรัตน์ โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 11978 ให้ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 นางประครองและนางสาวนงนุชได้มาติดต่อขอเปลี่ยนหลักประกันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 18952 ของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ตกลงด้วย จำเลยทั้งสองและนางประครองจึงโทรศัพท์ติดต่อนายพิชัย ศิริไพบูลย์ น้องชายของนางประครอง และพี่ชายของนางบุญรัตน์ให้ช่วยเจรจาให้ โจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนหลักประกันโดยทำสัญญากู้เงินขึ้นใหม่อีก 2 ฉบับ ฉบับแรกคือสัญญากู้เงินตามฟ้องมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนอีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 670,000 บาท มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกัน โดยโจทก์ยึดโฉนดที่ดินเลขที่ 18952 ที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และโฉนดที่ดินเลขที่ 19274 ที่มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้เป็นประกัน เหตุที่ต้องเปลี่ยนหลักประกันเนื่องจากนางประครองและนางสาวนงนุชต้องการนำโฉนดที่ดินเลขที่ 11978 ไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ที่นางสาวนงนุชยักยอกเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากำแพงเพชร จำเลยทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความได้ความว่า จำเลยทั้งสองไปติดต่อขอกู้เงินจากโจทก์ โจทก์ตกลงให้กู้ หลังจากทำสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันตามฟ้องแล้ว โจทก์แจ้งให้มารับเงินในวันรุ่งขึ้น แต่ต่อมาโจทก์กลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าให้นางสาวนงนุชชำระหนี้เงินกู้ 700,000 บาท แก่โจทก์เสียก่อนจึงจะมอบเงินตามสัญญาให้ และในที่สุดก็ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ เห็นว่า โจทก์มีนายพิชัยซึ่งเป็นญาติทั้งของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยทั้งสองนับได้ว่าเป็นพยานคนกลางมาเบิกความสนับสนุนว่า ฝ่ายจำเลยทั้งสองได้โทรศัพท์ติดต่อพยานให้ช่วยเจรจากับโจทก์ นอกจากนี้โจทก์ยังมีคำเบิกความของนายจรัญ ศิริธรรม พนักงานของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากำแพงเพชร ซึ่งเบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 585/2542 ของศาลชั้นต้น เป็นพยานได้ความว่า นางสาวนงนุชยักยอกเงินของธนาคาร ธนาคารจึงให้นางสาวนงนุชทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้แล้วนางประครองจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11978 เป็นประกันและเมื่อการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11978 ทำขึ้นเพื่อเป็นประกันหนี้ของนางสาวนงนุชที่ต้องรับผิดต่อธนาคาร มิใช่กรณีการขอสินเชื่อ คำเบิกความของนายจรัญจึงไม่มีข้อพิรุธ ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการอนุมัติรวดเร็ว พยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนัก แสดงให้เห็นถึงมูลหนี้เดิมที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นสัญญากู้เงินตามฟ้อง อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยทั้งสองต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ จะอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เงินเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไป ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกู้เงิน แต่นำสืบว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่จึงต้องห้ามนั้น เห็นว่า กรณีเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามสัญญากู้ตามฟ้องไม่เป็นการต้องห้ามแต่อย่างใด ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกว่าการแปลงหนี้ต้องไม่ขืนใจลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 นั้น ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่ปรากฏว่าการแปลงหนี้รายนี้กระทำไปโดยขืนใจนางสาวนงนุช ทั้งยังเป็นการทำไปเพื่อนำโฉนดที่ดินเลขที่ 11978 ไปจำนองเพื่อประกันหนี้ที่นางสาวนงนุชยักยอกเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ไปนั่นเอง จึงฟังไม่ได้ว่าการแปลงหนี้รายนี้เป็นการขืนใจลูกหนี้ สัญญาแปลงหนี้ใหม่จึงใช้บังคับได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์.