แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง ตาราง 5 หมายเลข 3 (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ที่กำหนดให้ผู้นำยึดและขอถอนการยึดต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด หมายถึงเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดแต่ไม่เกินจำนวนที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ส่วนการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นการประเมินราคาเบื้องต้นเท่านั้น ยังถือเป็นราคาทรัพย์สินที่แน่นอนแล้วไม่ได้ ดังนั้น หากปรากฏในภายหลังว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในขณะทำการยึดนั้นไม่เหมาะสมหรือสูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้
เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินที่ยึดตารางวาละ 10,000 บาท เป็นเงิน 1,160,000 บาท และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างที่ยึดเป็นเงิน 15,000 บาท ต่อมาได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแล้วรวม 17 ครั้ง เป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ แต่ไม่มีผู้ใดเสนอราคาสูงถึงราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ แสดงว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในครั้งแรกเป็นราคาที่สูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ และราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินใหม่นี้ถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์ที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่เป็นเงิน 595,000 บาท โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง จากเงินจำนวนดังกล่าว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 612,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 598,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยชำระเงินให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 5 เมษายน 2541 หากผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที โดยให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 38901 ตำบลหลักหก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ้วน ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลชั้นต้นสั่งคืนให้เป็นพับ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 38901 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อบังคับจำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาที่ดินขณะทำการยึดไว้ตารางวาละ 10,000 บาท เป็นเงิน 1,160,000 บาท และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 15,000 บาท ตามสำเนารายงานการยึดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2541 รายการยึดที่ดินและบัญชียึดทรัพย์ในสำนวน เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดจำนวน 17 ครั้ง แต่ไม่สามารถขายได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงทำการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่เป็นเงิน 595,000 บาท และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดเป็นครั้งที่ 18 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีลงวันที่ 15 มีนาคม 2545
วันที่ 26 เมษายน 2545 โจทก์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2545 จำเลยตกลงขายทรัพย์สินที่ยึดให้แก่นางบุญเรือน เสงคิศิริ ในราคา 500,000 บาท เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์จึงขอถอนการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากยอดหนี้ ตามหมายบังคับคดีจำนวน 1,005,172.47 บาท เป็นเงิน 35,181.04 บาท โจทก์ได้เสียค่าธรรมเนียมจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว แต่โจทก์เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีจากราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินใหม่จำนวน 595,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมจำนวน 20,825 บาท การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดค่าธรรมเนียมจากยอดหนี้ตามหมายบังคับคดีจำนวน 1,005,172.47 บาท เป็นการคิดค่าธรรมเนียมที่ไม่ถูกต้อง ขอให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่คิดเกินจำนวน 14,356.04 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา 1,005,172.47 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีคำนวณจากจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่ง และตาราง 5 หมายเลข 3 (เดิม) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่กำหนดว่าค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายโจทก์ผู้นำยึดและขอถอนการยึดต้องเสียในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด ส่วนการคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนด ถ้าไม่ตกลงกันให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 นั้น หมายถึงเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดแต่ไม่เกินจำนวนที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ส่วนการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นการประเมินราคาเบื้องต้นเท่านั้น ยังถือเป็นราคาทรัพย์สินที่แน่นอนแล้วไม่ได้ ดังนั้น หากปรากฏในภายหลังว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในขณะทำการยึดนั้นไม่เหมาะสมหรือสูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าพนักงานประเมินราคาที่ดินที่ยึดตารางวาละ 10,000 บาท เป็นเงิน 1,160,000 บาท และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างที่ยึดเป็นเงิน 15,000 บาท ต่อมาได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแล้วรวม 17 ครั้ง เป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ แต่ไม่มีผู้ใดเสนอราคาสูงถึงราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ แสดงว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในครั้งแรกเป็นราคาที่สูงเกินไป มีผลทำให้ไม่มีผู้สนใจเข้าประมูลซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงเกินจริง เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ และราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินใหม่นี้ถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่เป็นเงิน 595,000 บาท โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง จากเงินจำนวนดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง จากจำนวนหนี้ตามคำพิพากษา 1,005,172.47 บาท และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สิน ซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของเงินจำนวน 595,000 บาท โดยให้คืนค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีจำนวน 14,356.04 บาท ที่เสียเกินให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.