แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินจากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โดยอ้างว่าเป็นหนี้บุริมสิทธิในค่าเก็บรักษาทรัพย์ระหว่างบังคับคดีซึ่งผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมในอีกคดีหนึ่งแล้ว แม้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผู้ร้องและจำเลยทำกันดังกล่าวจะไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ แต่หากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้บุริมสิทธิจริงตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้สามัญ คำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้งดจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาย่อมไม่ครอบคลุมถึงเงินจำนวนนี้ เพราะมิใช่เงินจำนวนที่ศาลได้มีคำสั่งในข้อพิพาทเดิมระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่าเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในบังคับของคำสั่งศาลที่ให้งดจ่ายเงินโดยมิได้วินิจฉัยในปัญหาเรื่องหนี้บุริมสิทธิตามคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2542 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 12,993,086.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 101,295,533.63 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 28 กรกฎาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 300,000 บาท ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ยึดทรัพย์จำเลยเป็นเหล็กแท่งจำนวน 9,000 ตัน ซึ่งเหล็กดังกล่าวผู้ร้องได้ยึดไว้ตามหมายอายัดชั่วคราวของศาลจังหวัดสมุทรสาครในคดีหมายเลขดำที่ 1115/2541 ระหว่างบริษัทเร่งพัฒนาขนส่ง จำกัด โจทก์ บริษัทอินเตอร์มาริไทม์ จำกัด ที่ 1 บริษัทกรุงไทยสตีล อินดัสทรี จำกัด ที่ 2 จำเลย ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม 2542 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนจากทรัพย์ที่ขายทอดตลาด ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2543 โดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีบุริมสิทธิเพียงค่าขนของ ค่าลากจูงเรือ ค่าเรือเสียเวลา และอื่น ๆ ตามทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรสาครจำนวน 11,830,417 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียหายอื่นนอกจากนี้เป็นหนี้ที่ผู้ร้องต้องไปดำเนินการฟ้องร้องต่อผู้รับผิดต่อผู้ร้องในฐานะเป็นหนี้ธรรมดา ผู้ร้องมีบุริมสิทธิพิเศษในมูลหนี้รับขนของสินค้าเหล็กพิพาทจำนวน 11,830,417 บาท โดยให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวก่อนโจทก์ผู้คัดค้าน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ผู้คัดค้านอุทธรณ์และมีคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี งดจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา ศาลมีคำสั่งอนุญาต ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2544 เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ประกาศขายทอดตลาดเหล็กได้เงิน 61,000,000 บาท วันที่ 28 ธันวาคม 2544 ผู้ร้องกับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร ในคดีหมายเลขดำที่ 1115/2541 ความว่า จำเลยยอมชดใช้เงินจากการขายทอดตลาดเหล็กและยินยอมให้ผู้ร้องได้รับเงินจำนวน 18,972,040.58 บาท ไปก่อนเจ้าหนี้อื่นเพราะเป็นหนี้บุริมสิทธิพิเศษ เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจำนวน 11,830,417 บาท นอกจากเงินจำนวนดังกล่าวแล้วจำเลยยินยอมให้ผู้ร้องได้รับชำระเงินจากการขายทอดตลาดอีก 6,141,623.58 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากค่าเก็บรักษาทรัพย์ระหว่างบังคับคดีและยินยอมให้เป็นหนี้บุริมสิทธิพิเศษ ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษายอมเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1706/2544
วันที่ 18 มกราคม 2545 ผู้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร อายัดเงินตามคำพิพากษาตามยอมจำนวน 18,972,040.58 บาท ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ในคดีของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและขอให้โอนเงินจากการขายทอดตลาดเหล็กเข้ามาในคดีของศาลจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี จึงโอนเงินดังกล่าวไป ผู้ร้องได้ขอรับเงินจำนวน 6,141,623.58 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร แต่เนื่องจากวันที่ 22 มีนาคม 2545 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 432/2545 ระหว่างธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โจทก์ บริษัทกรุงไทยสตีล อินดัสทรี จำกัด จำเลย ผู้ร้องจึงรับเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เป็นผลให้ต้องโอนเงินเข้าไปในคดีล้มละลาย ซึ่งผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งซึ่งได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมูลหนี้ในคดีของศาลจังหวัดสมุทรสาคร แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าเงินที่โอนเข้ามาในคดีเป็นเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเหล็กของลูกหนี้ซึ่งสำเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร และโอนเงินต่อไป ที่เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีขอเงินดังกล่าวคืน ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2547 ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอรับเงินจำนวน 6,141,623.58 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อนุญาตเนื่องจากต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้งดจ่ายเงินจากการขายทอดตลาด จนกว่าจะมีคำพิพากษาศาลฎีกา
วันที่ 1 เมษายน 2547 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวน 6,141,623.58 บาท จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ โดยอ้างว่าเป็นหนี้บุริมสิทธิในค่าเก็บรักษาทรัพย์ระหว่างบังคับคดีซึ่งผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีหมายเลขดำที่ 1115/2541 ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว แม้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผู้ร้องและจำเลยทำกันดังกล่าวจะไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ แต่หากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้บุริมสิทธิจริงตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวจากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้สามัญ คำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้งดจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาย่อมไม่ครอบคลุมถึงเงินจำนวนนี้ เพราะมิใช่เงินจำนวนที่ศาลได้มีคำสั่งในข้อพิพาทเดิมระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่าเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในบังคับของคำสั่งศาลที่ให้งดจ่ายเงินโดยไม่ได้วินิจฉัยในปัญหาเรื่องหนี้บุริมสิทธิตามคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เนื่องจากปัญหาดังกล่าวศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังไม่ได้ไต่สวนพยานหลักฐานของผู้ร้องและโจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงเห็นควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดำเนินการไต่สวนและมีคำวินิจฉัยดังกล่าวเสียก่อนเพื่อให้เป็นไปตามลำดับศาล”
พิพากษายกคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่.