แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในสัญญากู้ยืมเงินมีข้อตกลงว่า จำเลยยินยอมให้ผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าหน้าที่จ่ายเงินหักเงินได้รายเดือนของจำเลยตามจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระส่งชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้ การบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ต้องดำเนินการตาม ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 2 ตั้งแต่มาตรา 271 ถึงมาตรา 323 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์กับจำเลยจะตกลงกันให้บังคับคดีโดยวิธีการอย่างอื่นไม่ได้ คำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์มีสิทธิขอรับเงินได้รายเดือนจากผู้มีอำนาจจ่ายเงินเพื่อจ่ายให้โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมจนกว่าจะครบถ้วนนั้น เท่ากับยินยอมให้โจทก์ขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากผู้มีอำนาจหักเงินรายได้ของจำเลยได้โดยไม่ต้องขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและไม่ต้องดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลย จึงขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี ศาลฎีกาไม่อาจสั่งให้ได้
แม้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องตกลงวิธีการชำระหนี้กันไว้ล่วงหน้าโดยสมัครใจทั้งสองฝ่าย แต่ข้อตกลงเกี่ยวพันไปถึงบุคคลภายนอกผู้ทำหน้าที่หักเงินได้ ตราบใดที่โจทก์และจำเลยยังสมัครใจปฏิบัติต่อกันตามสัญญา บุคคลภายนอกก็ดำเนินการหักเงินได้ของจำเลยส่งให้โจทก์ ต่อมาเมื่อจำเลยเปลี่ยนใจไม่ยอมชำระหนี้ให้ บุคคลภายนอกก็ไม่ยอมหักเงินส่งให้โจทก์ แม้ข้อสัญญาดังกล่าวจะเป็นสิทธิของโจทก์และจำเลยที่จะตกลงกันเกี่ยวกับวิธีชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า แต่บุคคลภายนอกไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่ถูกผูกพันว่าจะต้องมีหน้าที่หักเงินส่งให้โจทก์ตลอดไป การที่จะบังคับให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อสัญญาเป็นเรื่องวัตถุแห่งหนี้ที่คู่สัญญาตกลงกัน กรณีนี้วัตถุแห่งหนี้คือการบังคับให้จำเลยยินยอมชำระหนี้ต่อไปโดยบุคคลภายนอกดำเนินการหักเงินได้รายเดือนของจำเลยเพื่อจ่ายให้โจทก์ เป็นเรื่องที่ศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้ต่อไปตามสัญญาได้ เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระหนี้เงินกู้จำนวน 166,561.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี ของต้นเงิน 137,367.75 บาท นับแต่วันที่ 25 กันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ และให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์มีสิทธิขอรับเงินได้รายเดือน บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินอื่นใดจากผู้มีอำนาจจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้จนกว่าจะครบ หากจำเลยไม่ไปรับเงินจำนวนนี้ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 166,561.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 137,367.75 บาท นับแต่วันที่ 25 กันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ดิน 66 ทะเบียนเลขที่ 2757 ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จบครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดใช้ดอกเบี้ยโจทก์อัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ มีข้อตกลงในสัญญากู้ข้อ 6 และข้อ 9 ว่า จำเลยยินยอมให้ผู้บังคับบัญชาหรือเจ้าหน้าที่จ่ายเงินได้รายเดือนของจำเลยที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์หักเงินได้รายเดือนของจำเลยตามจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระแก่โจทก์เพื่อนำส่งชำระหนี้ให้โจทก์ได้ และในกรณีที่จำเลยจะขอออกจากราชการ หรือย้ายจากราชการหรืองานประจำ จำเลยต้องจัดการชำระหนี้ที่มีอยู่ต่อโจทก์ให้เสร็จสิ้นก่อน ถ้าไม่จัดการชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น จำเลยยินยอมให้เจ้าหน้าที่ผู้จ่ายเงินบำเหน็จ บำนาญ หรือเงินอื่นใดที่ทางราชการจะต้องจ่ายให้แก่จำเลย หักเงินดังกล่าวชำระหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยส่งชำระหนี้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นก่อนได้ ดังนี้ การบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตั้งแต่มาตรา 271 ถึงมาตรา 323 ซึ่งเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์และจำเลยจะตกลงกันให้บังคับคดีโดยวิธีการอย่างอื่นไม่ได้ คำขอท้ายฟ้องโจทก์ข้อ 3 ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์มีสิทธิขอรับเงินได้รายเดือน บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินอื่นใดที่ทางราชการจะต้องจ่ายให้แก่จำเลยจากผู้มีอำนาจจ่ายเงิน เพื่อจ่ายให้โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมจนกว่าจะครบถ้วน เท่ากับยินยอมให้โจทก์ขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากผู้มีอำนาจหักเงินรายได้ของจำเลยได้โดยไม่ต้องขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และไม่ต้องดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลย จึงขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี ศาลฎีกาไม่อาจสั่งให้ได้ ปัญหาต่อไปมีว่าตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 3 ดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะขอให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาต่อไปโดยไม่บอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แต่ข้อตกลงดังกล่าวเกี่ยวพันไปถึงบุคคลภายนอกคือผู้ที่ทำหน้าที่หักเงินได้ของจำเลยส่งมอบให้โจทก์ ตราบใดที่โจทก์และจำเลยยังสมัครใจปฏิบัติต่อกันตามสัญญา บุคคลภายนอกก็ดำเนินการหักเงินได้ของจำเลยส่งให้โจทก์ ต่อมาเมื่อจำเลยเปลี่ยนใจไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ บุคคลภายนอกก็ไม่ยอมหักเงินได้ของจำเลยส่งมอบให้โจทก์ ตามสัญญาข้อ 6 และข้อ 9 แม้จะเป็นสิทธิของโจทก์และจำเลยที่จะตกลงเกี่ยวกับวิธีการชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าก็ตาม แต่บุคคลภายนอกไม่ใช่คู่สัญญา บุคคลภายนอกจึงไม่ถูกผูกพันว่าจะต้องมีหน้าที่หักเงินส่งให้โจทก์ตลอดไป จึงเป็นสิทธิของบุคคลภายนอกจะหักเงินของจำเลยส่งมอบให้โจทก์หรือไม่ก็ได้ การที่จะบังคับให้คู่สัญญาปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 และข้อ 9 ต่อไปได้หรือไม่ เป็นเรื่องวัตถุแห่งหนี้ที่คู่สัญญาตกลงกันกรณีนี้วัตถุแห่งหนี้คือการบังคับให้จำเลยยินยอมชำระหนี้ต่อไปโดยให้บุคคลภายนอกดำเนินการหักเงินได้รายเดือน บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินอื่นใดที่ทางราชการจะต้องจ่ายให้จำเลยเพื่อจ่ายให้โจทก์ เป็นเรื่องที่ศาลไม่อาจบังคับให้ได้เพราะบุคคลภายนอกไม่ได้เป็นคู่สัญญาและไม่ได้ถูกฟ้องเข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้และเป็นการบังคับให้จำเลยยินยอม โจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับจำเลยชำระหนี้ต่อไปตามสัญญาได้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำขอของโจทก์ข้อนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.