คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8732/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมอำพรางการร่วมทุนระหว่างโจทก์จำเลยนั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยข้อนี้มาเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ระบุให้โจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งข้อความในเอกสารดังกล่าวเป็นการบิดเบือนจากสัญญากู้เงินที่เป็นคดีแพ่งให้กลายเป็นคดีอาญา จึงเป็นเอกสารที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย โจทก์ไม่อาจนำเอกสารหมาย จ.1 มาเป็นหลักฐานดำเนินคดีแก่จำเลยได้นั้น เห็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องเกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายมิใช่ความยินยอมหรือการตกลงกัน ดังนั้น แม้สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จะมีข้อความระบุให้โจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยก็ตาม ก็มิใช่เหตุตามกฎหมายที่จะทำให้สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ดังกล่าวไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 137,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 มีนาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545) ต้องไม่เกิน 37,500 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมอำพรางการร่วมทุนระหว่างโจทก์จำเลยนั้นเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยข้อนี้มาเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ระบุให้โจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งข้อความในเอกสารด้งกล่าวเป็นการบิดเบือนจากสัญญากู้เงินที่เป็นคดีแพ่งให้กลายเป็นคดีอาญาจึงเป็นเอกสารที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย โจทก์ไม่อาจนำเอกสารหมาย จ.1 มาเป็นหลักฐานดำเนินคดีแก่จำเลยได้นั้น เห็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องเกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายมิใช่ความยินยอมหรือการตกลงกัน ดังนั้น แม้สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จะมีข้อความระบุให้โจทก์ฟ้องคดีอาญาได้ด้วยก็ตาม ก็มิใช่เหตุตามกฎหมายที่จะทำให้สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ดังกล่าวไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีได้ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ.

Share