แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จะฟังได้ว่าข้อกล่าวหาของโจทก์เป็นเหตุหย่าตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์ย่อมหมดไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1518
โจทก์นำ จ. มาอยู่ในบ้านโจทก์และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน โดยโจทก์ให้ใช้นามสกุลของโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภรรยา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้อภัยในการกระทำของโจทก์ จำเลยจึงมีเหตุฟ้องหย่าโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา1516 (1)
เหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์ฝ่ายเดียว ทั้งจำเลยไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรโดยโจทก์เคยให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่าย การที่โจทก์หย่ากับจำเลยทำให้จำเลยยากจนลง จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยในสำนวนหลังว่า โจทก์ และให้เรียกจำเลยสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย
โจทก์สำนวนแรกฟ้อง ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์สำนวนหลังฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 21961 และ 21962 อันเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกันไปจนตลอดชีวิตของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์ไปจดทะเบียนหย่ากับจำเลย ณ ที่ว่าการเขตภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันนี้ และให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 21961 และ 21962 ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์กับให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่จำเลยเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันจดทะเบียนหย่าจนตลอดชีวิตของจำเลยหรือจนกว่าจะมีสามีใหม่ ให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนแรก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อแรกมีว่า โจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้จะฟังได้ว่าข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งสองกรณีเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายก็ตาม แต่โจทก์ได้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยแล้วสิทธิฟ้องหย่าของโจทก์ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518
ประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยมีเหตุฟ้องหย่าโจทก์หรือไม่ ในข้อนี้ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความนำสืบตรงกันฟังได้ว่า เมื่อเดือนมกราคม 2529โจทก์นำนางสาวลัดดา จันทร์ลา มาอยู่ในบ้านโจทก์และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยามีบุตรหญิงด้วยกัน 1 คน ชื่อเด็กหญิงสิทธิดา โดยโจทก์ให้ใช้นามสกุลของโจทก์พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภรรยา และคดีก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอันแสดงว่าได้ให้อภัยในการกระทำของโจทก์จำเลยจึงมีเหตุฟ้องหย่าโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 (1)
ประเด็นข้อต่อไปมีว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 21961 และ 21962 เป็นสินสมรสหรือไม่ ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาททั้ง 2 แปลง เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์จะต้องแบ่งให้จำเลยครึ่งหนึ่งเมื่อหย่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533
ประเด็นข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ ในข้อนี้ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า เหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์ฝ่ายเดียว เนื่องจากโจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันสามีภรรยา และได้ความจากนางสาวทิพาพรพยานจำเลยว่า จำเลยไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร คงเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียว โจทก์เคยให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่ายเดือนละ 4,000 บาท ฉะนั้นการที่โจทก์จำเลยหย่ากันย่อมทำให้จำเลยยากจนลงแน่นอน จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526
พิพากษายืน.