คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วจำเลยตกลงจะนำบริษัท ค. เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้โดยยินยอมผูกพันตนรับผิดกับจำเลยอย่างลูกหนี้ร่วม และบริษัท ค.ได้ทำสัญญาดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าบริษัท ค. เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาล โดยทำหนังสือประกันเพื่อการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 แล้ว เมื่อจำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ย่อมบังคับชำระหนี้เอากับบริษัท ค.ผู้ค้ำประกันได้ โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยยอมชำระเงินจำนวน 3,500,000 บาท แก่โจทก์ ทั้งนี้จำเลยได้นำเอาบริษัท เค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยยังชำระเงินไม่ครบถ้วน ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยหรือบริษัท เค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่นจำกัด ผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2532 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตราจองเลขที่ 8106 ของบริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ผู้ค้ำประกัน
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ตลอดมาเดือนละ 21,000 บาท รวมเป็นเงิน 756,000 บาท แต่มีข้อโต้แย้งในการคิดดอกเบี้ยโดยโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 17 ต่อปีส่วนจำเลยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ทบต้น กับอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร มีการขึ้นลงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยแต่โจทก์คิดอัตราเดียวกันตลอด นอกจากนี้มีข้อตกลงว่าหากโจทก์ขายที่ดินที่ได้รับโอนจากจำเลยแปลงใดแล้ว จำเลยพ้นภาระดอกเบี้ยเฉพาะแปลงนั้นซึ่งโจทก์ได้โอนขายที่ดินไปหมดแล้ว จำเลยไม่ผิดนัดโจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ของจำเลยหรือผู้ค้ำประกัน ขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดิน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บริษัท เค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่นจำกัด ผู้ค้ำประกันมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลย จึงเป็นบุคคลนอกคดีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมไม่ผูกพันบริษัทผู้ค้ำประกัน โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันโดยไม่ต้องฟ้องร้อง หมายบังคับคดีส่วนนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนการยึดที่ดินตราจองเลขที่ 8106 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ของผู้ค้ำประกันเสีย แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ได้จากการที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งและสำเนาคำแถลงของจำเลย สำเนาหนังสือมอบอำนาจและสำเนารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งพนักงานได้รับรองสำเนาว่าถูกต้องแล้วตามเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 1ถึง 3 ฟังได้ว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 9 ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยตกลงจะนำบริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้โดยยินยอมผูกพันตนรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมภายในวันที่10 พฤษภาคม 2529 ถ้าหากจำเลยผิดสัญญาไม่นำบริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มาทำสัญญาค้ำประกันภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ต่อมาในวันที่ 7พฤษภาคม 2529 จำเลยนำบริษัท เค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัดโดยนายประจักษ์ วรพฤกษ์ ผู้รับมอบอำนาจมาทำสัญญาค้ำประกันต่อศาล ศาลชั้นต้นตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจของบริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด แล้ว เห็นว่าถูกต้องจึงให้นายประจักษ์ลงนามในสัญญาค้ำประกันท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นปรากฏชัดแจ้งว่าได้ให้นายประจักษ์ วรพฤกษ์ ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ลงนามในสัญญาค้ำประกันท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความในวันทำบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาแล้วคดีจึงฟังได้ว่า บริษัทเค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัดได้ทำสัญญาประกันการชำระหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาตามยอมแล้วซึ่งถือได้ว่า บริษัท เค พี เอ็น คอร์เปอร์เรชั่น จำกัดได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำหนังสือประกันเพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274แล้ว เมื่อจำเลยรับว่าจำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ภายหลังจากกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความสุดสิ้นลงแล้วโจทก์ย่อมบังคับชำระหนี้โดยยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นคดีใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share