คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5881/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมและอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเนื่องจากที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่สาธารณะ เป็นคำฟ้องให้ศาลเลือกวินิจฉัยจากพยานหลักฐานว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ก็สามารถพิพากษาบังคับให้เปิดทางในฐานะทางจำเป็นได้ด้วย เมื่อที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โจทก์ย่อมผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น
การที่จำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าการใช้ทางจำเป็นของโจทก์เป็นการทำละเมิดทำให้จำเลยเสียหายและจำเลยขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์และเรียกค่าเสียหายมาด้วย ถือได้ว่าจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนอันเกิดจากการใช้ทางจำเป็นมาด้วยแล้ว ศาลจึงกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29 หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งคาโงก อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ของจำเลยเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมแก่โจทก์ ให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้และต้นมะพร้าว สิ่งกีดขวางทางเข้าออกในที่ดินของจำเลยออกและให้โจทก์ใช้ทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ตามปกติ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ทางพิพาทมิใช่ทางภาระจำยอม การที่โจทก์ใช้รถยนต์โดยสารขนาดเล็กแล่นผ่านทางพิพาทตลอด เป็นการละเมิดต่อจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยเสียหายขาดประโยชน์จากการใช้ทางพิพาทส่วนที่ผ่านที่ดินของจำเลยมีขนาดกว้าง 2.30 เมตร ยาวประมาณ 88 เมตร เดือนละ 2,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะหยุดใช้ทางพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29 หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งคาโงก อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ของจำเลยเป็นภาระจำยอมกว้าง 2.30 เมตร ให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้ ต้นมะพร้าว และสิ่งกีดขวางออกจากทางพิพาท ให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องในลักษณะขอให้เปิดทางภาระจำยอมและอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเนื่องจากที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกสู่สาธารณะ จึงเป็นคำฟ้องให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐานว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นก็สามารถพิพากษาบังคับให้เปิดทางในฐานะทางจำเป็นได้ด้วย ทั้งโจทก์ได้กล่าวแก้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์และกล่าวไว้ในฎีกาเกี่ยวกับทางจำเป็น ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทที่โจทก์เคยใช้รถยนต์โดยสารเข้าออกสู่ทางสาธารณะมาโดยตลอดจนทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ย่อมไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1349 และเนื่องจากจำเลยฟ้องแย้งอ้างว่าการใช้ทางของโจทก์เป็นการทำละเมิดทำให้จำเลยเสียหายจำเลยขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์และเรียกค่าเสียหายมาด้วย ถือได้ว่าจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนอันเกิดจากการใช้ทางจำเป็นมาด้วย จึงกำหนดค่าทดแทนให้เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะหมดความจำเป็นต้องใช้ทางพิพาท
พิพากษากลับเป็นว่า ทางพิพาทขนาดกว้าง 2.30 เมตร ในที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 29 หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งคาโงก อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ของจำเลยเป็นทางจำเป็น ให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้ ต้นมะพร้าวและสิ่งกีดขวางออกจากพิพาทและทำทางพิพาทให้โจทก์ใช้รถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะตามเดิม ให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าโจทก์จะหมดความจำเป็นใช้ทางพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share