คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4370/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยแสดงเจตนาลวงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างกัน หาได้กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยทำนิติกรรมซื้อขายกันจริง และหลังจากทำนิติกรรมซื้อขายกันแล้วโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นเจ้าของ จึงได้สิทธิครอบครองไม่ แม้จำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ถือว่าสละความเป็นเจ้าของแล้วการที่โจทก์อยู่ต่อมาเป็นเพียงอาศัยสิทธิของจำเลยไม่ได้สิทธิครอบครอง ก็เป็นเพียงกล่าวถึงผลของการที่โจทก์จำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องที่ว่าหลังจากโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยแล้ว โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพร้อมตึกแถว2 ชั้นจำนวน 8 ห้อง อยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ซื้อเชื่อสินค้าจากจำเลย โดยโจทก์ได้นำพืชไร่ไปมอบให้จำเลยเป็นการชำระหนี้แล้วต่อมาจำเลยบอกโจทก์ว่าโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยจำนวน 30,000 บาทและให้โจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านอยู่ แล้วโอนให้จำเลยเพื่อจำเลยจะนำไปจำนองเอาเงินชำระหนี้จำเลย หากมีเงินเหลือจำเลยก็จะมอบให้โจทก์ แล้วจำเลยจะโอนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เป็นชื่อโจทก์ โดยให้โจทก์ดำเนินการไถ่ถอนจำนองเอง โจทก์ตกลงทำตามคำแนะนำของจำเลย ต่อมาโจทก์จำเลยได้แสดงเจตนาลวงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินตามที่ตกลงกันข้างต้น และจำเลยนำที่ดินไปจำนองแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ทวงถามเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลย แต่จำเลยขอผัดเรื่อยมา ในที่สุดจำเลยอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของจำเลยแล้ว ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 28ตำบลนายางกลัด อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ โดยสิทธิครอบครองตามกฎหมาย ให้จำเลยรับผิดหนี้จำนองโดยดำเนินการไถ่ถอนจำนองจากธนาคารกรุงไทย จำกัด ให้ปลอดจำนองหากจำเลยไม่ปฏิบัติให้โจทก์มีสิทธิไถ่ถอนจำนองโดยให้จำเลยชำระหนี้ค่าไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทให้เป็นชื่อของโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไปจำนวน 150,000 บาทโจทก์ไม่เคยชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้จำเลย โจทก์ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงขอโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้และขอให้จำเลยเพิ่มเงินให้อีก จำนวน 100,000 บาท เมื่อตกลงกันแล้วจำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน 100,000 บาท และคืนสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์แล้วไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกัน โดยจำเลยไม่ทราบเรื่องการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินโจทก์ หลังจากจดทะเบียนซื้อขายแล้วโจทก์ขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปอีก6 เดือน ต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาท โจทก์ขออยู่ไปก่อน แต่จำเลยไม่ยอม หลังจากนั้นโจทก์ขอซื้อที่ดินพิพาทคืนแต่ตกลงราคากันไม่ได้ โจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ถือว่าสละความเป็นเจ้าของแล้ว แม้โจทก์จะอยู่ต่อมาก็เป็นเพียงอาศัยสิทธิของจำเลย โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 28ตำบลนายางกลัด อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ให้จำเลยจดทะเบียนโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ดังกล่าวเป็นชื่อของโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 28 ตำบลนายางกลัด อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิและเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 โจทก์จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย หลังจากนั้นโจทก์ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 3 ว่า หากฟังว่าจำเลยซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์ โจทก์มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของหรือไม่เพียงใด หรือไม่ และในข้อที่สองว่า หลังจากโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยแล้วโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นเจ้าของหรือครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย ในปัญหาข้อแรกนั้นเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยแสดงเจตนาลวงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างกัน โจทก์หาได้กล่าวอ้างว่าโจทก์จำเลยทำนิติกรรมซื้อขายกันจริง และหลังจากทำนิติกรรมซื้อขายกันแล้วโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นเจ้าของจึงได้สิทธิครอบครองแม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ถือว่าสละความเป็นเจ้าของแล้ว การที่โจทก์อยู่ต่อมาเป็นเพียงอาศัยสิทธิของจำเลย ไม่ได้สิทธิครอบครองก็เป็นเพียงกล่าวถึงผลของการที่โจทก์จำเลยซื้อขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องที่ว่า หลังจากโจทก์ขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยแล้ว โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 3 ว่า หากฟังว่าจำเลยซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์โจทก์มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของหรือไม่เพียงใด นั้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาในข้อที่สองต่อไป
พิพากษายืน

Share