คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4288/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
++ จำเลยฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 179 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

ย่อยาว

เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
จำเลย ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ลงวันที่ ๑๔ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๑๘ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ เวลากลางวันจำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยการบรรจุเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวใส่หลอดพลาสติกผนึกหัวท้ายหลอดละ ๑ เม็ด จำนวน ๒๓ หลอดหลอดละ ๒ เม็ด จำนวน ๗ หลอด และหลอดละ ๓ เม็ด จำนวน ๒ หลอดรวม ๓๒ หลอด จำนวน ๔๓ เม็ด น้ำหนัก ๓.๘๗ กรัม แล้วจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ที่จำเลยผลิตดังกล่าวไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งขนาน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดยาเสพติดให้โทษที่จำเลยผลิตและมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔,๗, ๘, ๑๕, ๖๕, ๖๖, ๑๐๒ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ผลิตและไม่ได้มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคหนึ่งจำคุก ๘ ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสามคงจำคุก ๕ ปี ๔ เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจ่าสิบตำรวจสุวิทย์ ในเมือง กับพวกได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเลขที่ ๗/๒ หมุ่ ๑ ตำบลทุ่งขนาน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรีจึงวางแผนจับกุมหลายครั้งแต่ไม่สามารถจับกุมจำเลยได้ ต่อมาวันที่ ๒๘มกราคม ๒๕๔๐ เวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา จ่าสิบตำรวจสุวิทย์กับพวกเดินทางไปที่บ้านของจำเลยดังกล่าว เมื่อไปถึงพบจำเลยกำลังจะขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน ทันทีที่เห็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยได้วิ่งหลบหนี จ่าสิบตำรวจสุวิทย์กับพวกวิ่งไล่ตามจับตัวจำเลยได้จ่าสิบตำรวจสุวิทย์กับพวกแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นภายในบ้าน โดยมีจำเลยกับนางสารภี อินทะนพ ภริยาของจำเลยเป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๔๓ เม็ดแบ่งบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกหลอดละ ๑ เม็ด จำนวน ๒๓ หลอดหลอดละ ๒ เม็ด จำนวน ๗ หลอด และหลอดละ ๓ เม็ด จำนวน๒ หลอด ซุกซ่อนในช่องเก็บของบริเวณหัวเตียงนอน สอบถามจำเลยแล้วรับว่าเป็นของจำเลยที่ซื้อมาจากประเทศกัมพูชาเพื่อเสพเองและแบ่งขายบ้าง จ่าสิบตำรวจสุวิทย์กับพวกจึงจับกุมจำเลยนำส่งร้อยตำรวจเอกบรรจบ กระต่ายทอง พนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่า ผลิตนำเข้า ส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยรับสารภาพว่า มีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธพนักงานสอบสวนส่งของกลางทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์แล้ว ปรากฏว่าเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีน น้ำหนักรวม ๓.๘๗ กรัม
จำเลยนำสืบว่า จำเลยมีภริยาซึ่งรับราชการครูและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถจักรยานยนต์โดยมีลูกจ้างอีก๓ คน จำเลยต้องทำงานทุกวัน บางครั้งต้องทำงานในเวลากลางคืนด้วยจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อเสพในเวลาทำงานกลางคืน มิได้มีไว้เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ใด
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย โจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๔๓ เม็ด ซึ่งแบ่งบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกผนึกหัวท้ายหลอดละ ๑ เม็ดบ้าง ๒ เม็ดบ้าง และ ๓ เม็ดบ้าง ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุวิทย์ ในเมือง กับสิบตำรวจโทสยาม อินทร์ศรีสุข พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยคงได้ความเพียงว่า ก่อนเกิดเหตุพยานทั้งสองสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่โจทก์ไม่มีพยานปากใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดมาเบิกความให้เห็นถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่าเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าว ที่จ่าสิบตำรวจสุวิทย์กับสิบตำรวจโทสยามเบิกความว่า พยานโจทก์ทั้งสองเคยวางแผนจับกุมจำเลยหลายครั้งแล้ว โดยให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะบางครั้งซื้อได้ บางครั้งก็ซื้อไม่ได้ เป็นทำนองว่าจำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น คำเบิกความของพยานทั้งสองในข้อนี้น่าระแวงสงสัยอยู่มากเพราะหากมีการวางแผนจับกุมจำเลยโดยให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยได้จริง เหตุใดจึงไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยในการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในครั้งนั้น คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยมีข้อพิรุธไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นจริงได้ส่วนเหตุการณ์ในขณะที่มีการตรวจค้นบ้านพักของจำเลยที่มีลักษณะเป็นการตรวจค้นเพื่อพบและยึดสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดดังเช่นการตรวจค้นทั่วไปเพราะไม่มีการวางแผนล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยก่อน อันจะชี้ให้เห็นเจตนาพิเศษของจำเลยในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองว่าประสงค์จะมีไว้เพื่อขาย จำหน่าย หรือจ่ายแจก ส่วนที่สิบตำรวจโทสยามเบิกความว่า ในชั้นจับกุมพยานได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าผลิต นำเข้าส่งออก หรือมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่า ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากประเทศกัมพูชา แล้วนำมาแบ่งใส่หลอดพลาสติกเพื่อเสพเองบ้างและขายบ้าง ก็ขัดแย้งกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุวิทย์ที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า จำเลยบอกพยานในขณะที่ถูกจับกุมว่าจำเลยมีเมทแอม-เฟตามีนของกลางไว้เพื่อเสพเองเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกบรรจบ กระต่ายทอง พนักงานสอบสวนว่า ในชั้นสอบสวนพยานแจ้งข้อหาจำเลยว่า ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่า จำเลยมียาเสพติดให้โทษของกลางไว้เพื่อเสพ ปรากฏตามคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมายจ.๓ คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยที่อ้างว่าจำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมว่า ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาแบ่งบรรจุใส่ในหลอดพลาสติกเพื่อเสพบ้างและขายบ้างจึงมีน้ำหนักน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์ที่จะพิสูจน์ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคงอาศัยแต่จำนวนและลักษณะของการแบ่งแอมเฟตามีนของกลางบรรจุในหลอดพลาสติก ที่บรรจุหลอดละ ๑ เม็ดบ้าง ๒ เม็ดบ้างและ ๓ เม็ดบ้างมาเป็นเครื่องอนุมานให้เห็นเจตนาพิเศษของจำเลยแต่ทางพิจารณาไม่ได้ความว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งเมทแอมเฟตามีนของกลางเหล่านั้นบรรจุในหลอดพลาสติก ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกจำนวน ๓๒ หลอด ซึ่งโดยลักษณะของการบรรจุเป็นการสะดวกแก่การจำหน่าย แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเหล่านั้นให้แก่ผู้อื่น ทั้งที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้เห็นเช่นนั้นจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพราะการที่จำเลยครอบครองยาเสพติดให้โทษของกลางซึ่งบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกในลักษณะดังกล่าวอาจเป็นเพราะจำเลยได้ยาเสพติดให้โทษนั้นมาในสภาพเช่นนั้น หรือได้มาแล้วจึงนำมาแบ่งบรรจุลงในหลอดพลาสติกก็อาจเป็นไปได้ทั้งสองสถานจะสันนิษฐานในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งเมทแอม-เฟตามีนของกลางบรรจุในหลอดพลาสติกเพื่อเตรียมจำหน่ายให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนไม่ได้ ในข้อนี้จำเลยมีตัวจำเลยกับนางสารภี อินทะนพ ภริยาของจำเลยเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถจักรยานยนต์ ในช่วงที่มีงานมากจำเลยต้องทำงานในเวลากลางคืนและต้องเสพเมทแอมเฟตามีนด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย คงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผลิตเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ด้วยการแบ่งบรรจุในหลอดพลาสติกผนึกหัวท้าย แล้วมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ นั้น ความผิดตามฟ้องของโจทก์ย่อมรวมถึงการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา ๖๗ อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าว ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๒ วรรคสุดท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ จำคุก๒ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑.

Share