แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ทันทีที่บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แต่จำเลยทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายที่ 2 หลังจากที่จำเลยถามหาผู้เสียหายที่ 1 แล้วผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เจตนาที่จะบุกรุกบ้านของผู้เสียหายที่ 1 กับเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จึงแยกจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 91, 295, 364, 365 (3)
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาบุกรุก และเมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295, 365 (3) (ที่ถูกมาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานบุกรุกในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 10 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านซึ่งชั้นล่างทำเป็นร้านขายอาหารของผู้เสียหายที่ 1 แล้วขึ้นไปชั้นบนของบ้านถามหาผู้เสียหายที่ 1 เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ตอบว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน จำเลยก็ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 เห็นว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยถามหาผู้เสียหายที่ 1 ก่อน เมื่อผู้เสียหายที่ 2 พูดกับจำเลยว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไปธุระนอกบ้าน จำเลยก็ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จำเลยมิได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ทันทีที่พบ เพิ่งจะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 หลังจากที่ผู้เสียหายที่ 2 พูดกับจำเลยแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะบุกรุกบ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 แยกจากกัน โดยจำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืน ให้ลงโทษจำเลย จำคุก 4 เดือน ฐานทำร้ายร่ายกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้ลงโทษกักขังมีกำหนด 3 เดือน แทนโทษจำคุก ตาม ป.อ. มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4.