แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาจ้างให้ก่อสร้างงานหลัก โดยมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการว่า หากมีกรณีพิพาทให้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน ต่อมาโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงตามสัญญาหยุดงานชั่วคราว ให้โจทก์ทั้งสองหยุดงานไว้ก่อนเพราะภาวะเศรษฐกิจด้านการเงินที่จำเลยประสบอยู่ จำเลยไม่อาจจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสองให้ครบถ้วนตามกำหนดได้ เจตนารมณ์ของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ทำสัญญาหยุดงานก่อสร้างไว้ชั่วคราว ทั้งสองฝ่ายยังมีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักต่อกันอยู่ สัญญาหยุดงานชั่วคราวจึงหาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ไม่ และเมื่อโจทก์ทั้งสองบอกเลิกสัญญาเพื่อจะใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ผิดสัญญาตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาหยุดงานชั่วคราว โจทก์ทั้งสองจึงต้องนำข้อพิพาทเสนออนุญาโตตุลาการเพื่อวินิจฉัยก่อน ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลัก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารที่ค้างชำระรวมภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อตกลงในสัญญาหยุดงานชั่วคราว พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓๑,๙๘๒,๘๘๐.๒๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๓.๒๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๙๙,๖๔๙,๑๒๘.๔๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ข้อพิพาทตามคำฟ้องเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักซึ่งมีข้อตกลงกำหนดให้คู่สัญญาที่พิพาทกันตามสัญญาดังกล่าวต้องเสนอข้อพิพาทผ่านการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการก่อนนำคดีมาฟ้องศาล การที่โจทก์ทั้งสองนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยมิได้เสนอข้อพิพาทผ่านการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ทั้งสอง จำเลยยื่นคำร้องว่า ข้อพิพาทตามคำฟ้องเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักซึ่งมีข้อตกลงว่าคู่สัญญาต้องเสนอข้อพิพาทผ่านการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการก่อนนำคดีมาสู่ศาล ขอให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการเสียก่อน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๑๐
โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลัก การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าจ้างที่จำเลยค้างชำระซึ่งจำเลยตกลงยอมรับจะชำระให้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาหยุดงานชั่วคราวเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามหลักสัญญาต่างตอบแทน จึงไม่จำต้องเสนอข้อพิพาทผ่านการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการเสียก่อน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพื่อให้คู่สัญญาดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการเสียก่อน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๑๐ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสอง ข้อ ๒ และ ข้อ ๓ ที่ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จึงขอทำสัญญาหยุดงานชั่วคราว การที่โจทก์ฟ้องจึงมิใช่การฟ้องตามสัญญาจ้างให้ก่อสร้างงานหลักที่จะต้องนำคดีไปสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก่อน แต่เป็นคำฟ้องที่อาศัยข้อตกลงตามสัญญาหยุดงานชั่วคราว ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงคลาดเคลื่อนต่อกฎหมายและข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หาได้คลาดเคลื่อนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของคู่สัญญาไม่ เพราะศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยถึงเหตุที่มาแห่งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองกับจำเลย โดยอาศัยข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายจากสัญญาตามเอกสารสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักเป็นหลัก ซึ่งเอกสารสัญญาดังกล่าวนี้ ทั้งโจทก์ทั้งสองกับจำเลยมิได้โต้เถียงกันให้ฟังได้เป็นอย่างอื่นว่า หากมีข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่เกิดจากหรือเกี่ยวเนื่องจากสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักแล้วจะต้องเสนอข้อพิพาทดังกล่าวให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยก่อน หากฝ่ายใดไม่พอใจจึงฟ้องเป็นคดีต่อศาล ปัญหาตามกรณีดังกล่าวเห็นว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายว่ามีความประสงค์จะปฏิบัติต่อกันเช่นใดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ตกลงกันไว้ และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองต่อไปว่า สัญญาหยุดงานชั่วคราวนั้นถือได้หรือไม่ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัยที่บัญญัติไว้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ตามข้อตกลงตามสัญญาหยุดงานชั่วคราวดังกล่าวนั้นปรากฏข้อความชัดเจนว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นกรณีที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน แต่เป็นการที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงให้โจทก์หยุดงานก่อสร้างไว้ชั่วคราวก่อนเท่านั้น โดยโจทก์ทั้งสองกับจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะระงับสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักแต่อย่างใดไม่ เหตุที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยต้องทำสัญญาหยุดงานก่อสร้างไว้ชั่วคราวก่อนนั้นเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจด้านการเงินที่จำเลยกำลังประสบอยู่โดยจำเลยไม่สามารถจะจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ครบถ้วนตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้สำหรับงานบางส่วนที่โจทก์ทั้งสองได้ก่อสร้างไปแล้วในสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้าง จึงเป็นที่เห็นเจตนารมณ์ของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ทำสัญญาหยุดงานก่อสร้างไว้ชั่วคราวก่อนว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีเจตนาที่จะผูกพันกันตามสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักต่อกันอยู่ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเพราะจำเลยไม่แจ้งข้อมูลให้โจทก์ทราบ อันเป็นผลให้สัญญาหยุดงานก่อสร้างไว้ชั่วคราว และสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักต้องเลิกกันนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสองบอกเลิกสัญญาก็เพื่อประสงค์จะให้โจทก์ทั้งสองกับจำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเพื่อโจทก์ทั้งสองจะได้ใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย เพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาหยุดงานชั่วคราว อันเป็นจุดประสงค์ของโจทก์ทั้งสองว่า ต้องการให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างที่จำเลยยังค้างชำระอยู่นั้นให้จำเลยทำการชำระให้แก่โจทก์นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเงื่อนไขตามสัญญาหยุดงานชั่วคราว ข้อ ๑๐ ที่กำหนดไว้ว่า หากโจทก์ทั้งสองพร้อมที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อไป และโจทก์ทั้งสองไม่อาจตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับการเริ่มก่อสร้างในครั้งใหม่นี้ได้ เนื่องจากจำเลยไม่แจ้งข้อมูลให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โดยจะต้องนำข้อพิพาทเสนออนุญาโตตุลาการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดพิพาทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าจ้างให้ก่อสร้างงานหลักก่อน ดังนั้น สัญญาหยุดงานชั่วคราวจึงหาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความตามนัยที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นดังกล่าวนี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งข้อ ๒ และข้อ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.