คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6066/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์เคยให้พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรี ยื่นคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุทองดี โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีที่ได้มาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านในคดีก่อนว่า ทรัพย์ที่จะขอตั้งผู้จัดการมรดกเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศตกเป็นของวัดจำเลยที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุทองดี คดีดังกล่าวจึงมีประเด็นว่า พระภิกษุทองดีได้ทรัพย์สินมาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศหรือไม่ และเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีว่า ทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จึงตกเป็นของวัดจำเลยที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุทองดี ไม่มีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยกล่าวอ้างทำนองเดียวกันกับคดีก่อนว่า ทรัพย์มรดกพิพาทเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุทองดีได้มาก่อนบวชเป็นพระภิกษุที่วัดจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่าทรัพย์มรดกพิพาทเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุทองดีได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศจึงตกเป็นสมบัติของวัดจำเลย เมื่อในคดีก่อนพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีร้องขอแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท ย่อมถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีแทนโจทก์ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 188 (4) ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยฟ้องของโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๓๑ และเลขที่ ๓๒๗๗ พร้อมด้วยทรัพย์สินอื่นเป็นของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงและให้ส่งมอบกำปั่นและทรัพย์สินอื่นคืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทรัพย์ทั้งหมดอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยให้พนักงานอัยการร้องขอตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุทองดี จำเลยได้คัดค้านว่าเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุทองดีได้มาระหว่างบวชอยู่ที่วัดจำเลย ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอโดยเห็นว่า เป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุทองดีได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศตกแก่จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖๙/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำหรือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖๙/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖๙/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรียื่นคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุทองดี โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีที่ได้มาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศ แต่เมื่อจำเลยคดีนี้ยื่นคัดค้านในคดีดังกล่าวว่าทรัพย์มรดกของพระภิกษุทองดีที่จะขอตั้งผู้จัดการมรดกนั้นเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุทองดีถึงแก่มรณภาพจึงตกเป็นสมบัติของวัดจำเลยที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุทองดี ขอให้ยกคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก คดีดังกล่าวจึงมีประเด็นว่า พระภิกษุทองดีได้ทรัพย์สินมาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศหรือไม่ และเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์หรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีว่า ทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุทองดีถึงแก่มรณภาพ ทรัพย์สินของพระภิกษุทองดีจึงตกเป็นของวัดจำเลย ที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุทองดี ไม่มีเหตุที่จะตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ขณะคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อมาวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โดยกล่าวอ้างทำนองเดียวกันกับคดีก่อนว่า ทรัพย์มรดกพิพาทเป็นของพระภิกษุทองดีที่ได้มาก่อนบวชเป็นพระภิกษุที่วัดจำเลย จำเลยก็ให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์มรดกพิพาทเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุทองดีได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศจึงตกเป็นสมบัติของวัดจำเลย แม้คดีก่อนพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีจะเป็นผู้ร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้อยู่แล้วให้พนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีร้องขอแทน จึงถือได้ว่าเป็นการร้องขอแทนโจทก์ เมื่อคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาท ย่อมถือได้ว่าพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีฟ้องคดีแทนโจทก์ด้วย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๘ (๔) ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยฟ้องของโจทก์ในคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share