แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1001 ได้บัญญัติให้ฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่ตั๋วถึงกำหนด โดยไม่ได้บัญญัติว่าผู้ใดเป็นผู้ฟ้องดังเช่นมาตรา 1002 การที่โจทก์ในฐานะที่ผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินได้รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากผู้รับเงินฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1001
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2537 จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวน 4,300,595 บาท แก่บริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 21 ตุลาคม 2540 และให้โจทก์สาขาวิสุทธิ์กษัตริย์เป็นผู้รับอาวัลซึ่งตกลงว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ภายในกำหนด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินในฐานะผู้รับอาวัลแล้ว จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2537 บริษัทดังกล่าวได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่โจทก์ที่สาขาลุมพินี เพื่อขอรับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปก่อน และได้รับเงินจากโจทก์ที่สาขาลุมพินีไปแล้ว เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,740,852.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 12.75 ต่อปี ในต้นเงิน 4,300,595 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่มาขายลด โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดในวันที่ 21 ตุลาคม 2540 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องโดยสัญญาจะจ่ายเงินให้แก่บริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 21 ตุลาคม 2540 โดยมีโจทก์ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ สาขาวิสุทธิ์กษัตริย์ เป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน และบริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ทรงได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปขายลดให้แก่โจทก์ที่สาขาลุมพินี และได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2537 แต่เมื่อถึงกำหนดใช้เงิน จำเลยไม่ชำระตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ เห็นว่า วันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องคือวันที่ 21 ตุลาคม 2540 และในคดีฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน กฎหมายห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้น ๆ ถึงกำหนดใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 เมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 25 มิถุนายน 2546 จึงพ้นเวลาสามปีนับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดแล้ว ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับอาวัลมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยจำเลยผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ได้บัญญัติให้ฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่ตั๋วถึงกำหนด โดยไม่ได้บัญญัติว่าผู้ใดเป็นผู้ฟ้องดังเช่นมาตรา 1002 ที่บัญญัติให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ดังนั้น การที่โจทก์ในฐานะที่ผู้รับอาวัลจะฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1001 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายในเวลาดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ส่วนที่โจทก์อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 3506/2528 นั้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไม่ตรงกับคดีนี้”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.