แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรผู้เยาว์แต่ละคนจะพึงได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองรวมกันมาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับโจทก์และจำเลยที่ ๑ หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้บุตรผู้เยาว์คือเด็กหญิงกนกพรรณและเด็กชายธนรัชต์ เพชรไทย อยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว ให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ ๑ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว กับให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ผู้เยาว์ทั้งสองในชั้นประถมศึกษาคนละ ๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน ในชั้นมัธยมศึกษาคนละ ๓,๐๐๐ บาทต่อเดือน และชั้นอุดมศึกษาคนละ ๔,๐๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันพิพากษาไปจนกว่าผู้เยาว์จะมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๑) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาจนกว่าบุตรทั้งสองมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๑,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ต่อมาเมื่อปี ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๒ และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอย่างเปิดเผย โดยที่จำเลยที่ ๑ ยังมิได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์
กรณีจำเลยที่ ๑ ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรทั้งสองเพียงใดนั้น วินิจฉัยว่าตามใบแจ้งการหักเงินเดือนเอกสารหมาย ล. ๑ แผ่นที่ ๕ ฉบับลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินเดือน ๑๔,๓๒๕ บาท ถูกหักค่าสหกรณ์จำนวน ๗,๐๐๔.๖๓ บาท และหักอย่างอื่นอีก คงเหลือเงินเดือนที่ได้รับ ๖,๖๓๐.๓๗ บาท แม้จะยังเหลือหนี้เงินต้นอยู่อีก ๑๐๓,๘๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ก็ยังคงมีเงินค่าหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นเงิน ๖๓,๐๕๐ บาท ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็เบิกความยอมรับว่ามิได้จ่ายเงินช่วยเหลือโจทก์และบุตรทั้งสองมาตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๑ ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงรายได้และพฤติการณ์แห่งกรณีแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สิทธิของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรผู้เยาว์แต่ละคนพึงจะได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรทั้งสองรวมกันมาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อบุตรคนแรกบรรลุนิติภาวะแล้วให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคนที่สองต่อไปเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท จนกว่าบุตรคนที่สองจะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.