คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6180/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทที่โจทก์ให้จำเลยเช่าซื้อเป็นที่ราชพัสดุและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินพิพาทไปให้จำเลยเช่าซื้อ เพราะต้องห้ามมิให้โอนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 สัญญาเช่าซื้อจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 113 เพราะมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการพ้นวิสัยและต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย โจทก์จึงต้องคืนค่าเช่าซื้อให้จำเลยเพราะเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ตามมาตรา 406 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินโจทก์ ๒ แปลง แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวและให้จำเลยชำระค่าเสียหาย ๒,๕๐๐ บาท และค่าเสียหายเดือนละ ๖๒๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒,๕๐๐ บาท และในต้นเงินที่จำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ตกลงว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยเมื่อออกโฉนดแล้ว จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไปแล้ว ๔๑,๘๗๕ บาท ต่อมาปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๖จำเลยได้รับหนังสือจากผู้ว่าราชการจังหวัดระยองแจ้งว่า ที่ดินที่เช่าซื้อเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นที่ราชพัสดุ โจทก์ไม่อาจขอออกโฉนดและนำมาให้จำเลยเช่าซื้อได้ สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์คืนเงิน ๔๓,๑๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๔๑,๘๗๕ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเช่าซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีสิทธิครอบครองเท่านั้น โจทก์ได้ส่งมอบและโอนสิทธิครอบครองให้จำเลยได้ใช้ประโยชน์ตามสัญญาแล้ว หากทางราชการเปิดโอกาสให้ออกโฉนดเมื่อใด โจทก์จะไปขอออกโฉนดให้ โจทก์มิได้ผิดสัญญาสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องแย้งและพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์คืนเงินค่าเช่าซื้อ ๔๑,๘๗๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่จำเลยแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๑,๓๑๙ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๔ โจทก์ให้จำเลยเช่าซื้อที่ดินพิพาทไปในราคา๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยชำระเงินในวันทำสัญญา ๓๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือผ่อนชำระเดือนละ ๖๒๕ บาท จำเลยผ่อนชำระได้ ๑๙ เดือน รวมชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น ๔๑,๘๗๕ บาท แล้วไม่ชำระให้โจทก์อีก อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ เพราะทางราชการแจ้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินพิพาทไปให้จำเลยเช่าซื้อ เพราะต้องห้ามมิให้โอนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๕ สัญญาเช่าซื้อจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๑๓ เพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยและต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย โจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อให้จำเลยเพราะเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ตามมาตรา ๔๐๖วรรคแรก และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษายืน

Share