คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11238/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งห้าให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งห้าอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสัดส่วน เนื้อที่ 70 ตารางวา โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาแล้วเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีโดยมิได้อาศัยสิทธิของผู้ใด ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้า ให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งห้า หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยทั้งห้าโต้เถียงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกัน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนคำขอท้ายฟ้องแย้งแม้จะขอมาเป็นข้อเดียว แต่แยกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 70 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้า กับส่วนที่สองขอให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งห้า ถึงแม้คำขอท้ายฟ้องแย้งส่วนที่สองจะไม่มีกฎหมายให้ศาลบังคับโจทก์ปฏิบัติเช่นนั้น ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนที่สองเท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งรับฟ้องแย้งในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่าจำเลยทั้งห้าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 70 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ไว้พิจารณาและพิพากษาไปตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 307 เลขที่ดิน 3550 ตำบลบางปลา (บางลาว) อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ ของโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว กับให้จำเลยทั้งห้าชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 307 เลขที่ดิน 3550 ตำบลบางปลา (บางลาว) อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ ด้านทิศเหนือเนื้อที่ 70 ตารางวา ส่วนที่จำเลยทั้งห้าครอบครองตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้าและให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งห้า หากไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยทั้งห้า ส่วนฟ้องแย้ง เห็นว่า คำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าที่ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนที่อ้างว่าครอบครองปรปักษ์เป็นของจำเลยทั้งห้า หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น ไม่มีกฎหมายให้ศาลบังคับได้ จึงให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สำเนาให้อีกฝ่ายพร้อมสำเนาอุทธรณ์ จะคัดค้านประการใดแถลงเข้ามาภายในกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน ต่อมาจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งพร้อมสำเนาคำร้องกับได้วางเงินค่านำหมายในวันเดียวกัน แต่ความปรากฏในหมายส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งและรายงานผลการส่งหมายว่า เป็นเพียงการส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งเท่านั้น กรณีจึงยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ได้มีการส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อมและโจทก์ได้มาศาลในวันดังกล่าวด้วย ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า “โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาในวันนี้แล้ว ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาพิจารณาสั่ง เนื่องจากจำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าไปยังศาลฎีกา จึงให้เลื่อนการพิจารณาเพื่อรอฟังคำสั่งศาลฎีกาแล้ว จึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาแล้ว ให้หมายแจ้งนัดพร้อมให้คู่ความทราบ อนึ่ง ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งห้าแถลงว่านอกจากจะส่งหมายแล้ว ขอให้โทรศัพท์แจ้งวันนัดให้ทนายความทั้งสองฝ่ายทราบด้วย เพื่อจะได้ไม่พลาดวันนัดและกระบวนพิจารณาไม่ล่าช้า” ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาและไม่คัดค้าน ทั้งวันนัดพร้อมยังอยู่ในระยะเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์และโจทก์อาจคัดค้านคำร้องได้ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 307 เลขที่ดิน 3550 ตำบลบางปลา (บางลาว) อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ ของโจทก์ จำเลยทั้งห้าให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งห้าอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสัดส่วน เนื้อที่ 70 ตารางวา โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาแล้วเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี โดยมิได้อาศัยสิทธิของผู้ใด ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้า ให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งห้า หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยทั้งห้าโต้เถียงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกัน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนคำขอท้ายฟ้องแย้งแม้จะมาขอเป็นข้อเดียว แต่แยกได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 307 เลขที่ดิน 3550 ตำบลบางปลา (บางลาว) บางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ ด้านทิศเหนือ ตลอดแนวเขตที่ดิน เนื้อที่ 70 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้า กับส่วนที่สองขอให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยทั้งห้า หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ถึงแม้คำขอท้ายฟ้องแย้งส่วนที่สองจะไม่มีกฎหมายให้ศาลบังคับโจทก์ปฏิบัติเช่นนั้น ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนที่สองเท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งรับฟ้องแย้งในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่าจำเลยทั้งห้าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 70 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ไว้พิจารณาและพิพากษาไปตามรูปคดี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งเสียทั้งหมด โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งเป็นพับนั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยบางส่วน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งห้าในส่วนที่ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งห้าโดยการครอบครองไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้และค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้ง ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share