คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3279/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยแนะนำโจทก์ร่วมว่า ในการขอกู้เงินจากธนาคารจะต้องเป็นลูกค้าของธนาคารโดยนำเงินไปฝากธนาคารไว้ก่อน เป็นคำแนะนำตามปกติธรรมดาทั่วไป เมื่อโจทก์ร่วมได้มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการ จำเลยก็ได้ติดต่อขอกู้เงินจากธนาคารให้โจทก์ร่วม แต่มีเหตุขัดข้องจึงกู้เงินไม่ได้ แม้จำเลยจะไม่ได้นำเงินที่โจทก์ร่วมมอบให้ไปฝากไว้กับธนาคารก็ตาม ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญที่จะถือว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ร่วมอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๔๑ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน ๑๗,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
นางลำพวน สุภาผล ผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยอัยการพิเศษประจำเขต ๖ ซึ่งอธิบดีกรมอัยการได้มอบหมายให้ลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์เป็นผู้รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓ ให้ลงโทษจำคุกคนละ ๑ ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน ๑๗,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายจำรัส พลหลำ ได้มาขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ แต่โจทก์ร่วมไม่มีจึงพาไปขอกู้จากนายปอและนายเกี้ยะ บุคคลทั้งสองยอมให้กู้จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ได้ยึดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ร่วมไว้ และมอบเงินที่กู้ให้นายจำรัสไปต่อมาในปี ๒๕๒๙ โจทก์ร่วมได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายผวนและนางสำราญซึ่งเป็นพี่เขยและพี่สาวของนายจำรัสมามอบให้จำเลยทั้งสองเพื่อขอให้ช่วยติดต่อขอกู้เงินจากธนาคารให้ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ร่วมและนายลำทอง เปลี่ยนศรี เบิกความเป็นทำนองเดียวกันว่าในการไปติดต่อขอความช่วยเหลือเพื่อขอกู้เงินจากธนาคารจากจำเลยทั้งสองนั้น จำเลยทั้งสองบอกว่าในการขอกู้เงินโดยนำที่ดินไปไว้กับธนาคารนั้นจะต้องนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารก่อนและจะไดรับเงินกู้ภายในครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน ต่อมาโจทก์ร่วมจึงมอบเงินจำนวน ๑๗,๕๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองรับไปดำเนินการให้เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยทั้งสองจึงเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความจริง ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ไม่ได้รับเงินจากโจทก์ร่วมนั้น เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับเงินจำนวน ๑๗,๕๐๐ บาท ไปจากโจทก์ร่วมแล้ว แต่การที่จำเลยทั้งสองให้คำแนะนำแก่โจทก์ร่วมว่าในการขอกู้เงินโดยนำที่ดินไปไว้กับธนาคารนั้นจะต้องนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารก่อนดังกล่าว ไม่ว่าเงินที่จะต้องนำไปฝากธนาคารนั้นจะนำไปฝากในนามของโจทก์ร่วมหรือจำเลยคนใดก็ตามก็เป็นคำแนะนำตามปกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป เพราะผู้ที่จะไปขอกู้เงินจากธนาคารได้นั้น ส่วนมากจะต้องเป็นลูกค้าของธนาคารเสียก่อนโดยนำเงินไปฝากไว้กับธนาคาร ประกอบกับคำแนะนำของจำเลยไม่ได้ส่อเจตนาทุจริตหรือเป็นการใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ร่วมแต่ประการใด เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับเงินจากโจทก์ร่วมแล้วข้อเท็จจริงก็ได้ความจากคำเบิกความของนางทองหล่อ เกตุทิพย์ พยานโจทก์ว่าเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๑ ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน ๒ ฉบับ เป็นของนายผวน ๑ ฉบับมามอบให้พยานเพื่อให้ติดต่อกับธนาคารเพื่อขอกู้เงิน พยานจึงไปติดต่อกับธนาคารกรุงไทย จำกัด ต่อมาจึงนำจำเลยที่ ๑ ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด เอง ซึ่งนายประเจต สายสุวรรณ หัวหน้าแผนกสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาโพทะเล ก็เบิกความว่า นางทองหล่อได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน ๒ ฉบับ มามอบให้พยานไว้ แต่ในช่วงดังกล่าวฝนตกจึงบอกให้นางทองหล่อมาติดต่อใหม่ในภายหลัง ซึ่งคำพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเจือสมคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อกับนางทองหล่อเพื่อให้ติดต่อขอกู้เงินธนาคารให้ ต่อมานางทองหล่อได้นำจำเลยที่ ๑ ไปพบนายประเจต นายประเจตบอกว่าฝนตกไม่อาจไปดูที่ดินได้ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ป่วยต้องไปรักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการตามที่บอกกล่าวแก่โจทก์ร่วมแล้วแต่เมื่อมีเหตุขัดข้องกู้เงินจากธนาคารไม่ได้ แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้นำเงินที่โจทก์ร่วมมอบให้ไปฝากไว้กับธนาคารก็ตาม ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญที่จะถือว่าจำเลยทั้งสองหลอกลวงโจทก์ร่วม อันจะเอาผิดแก่จำเลยทั้งสอบฐานฉ้อโกงได้ไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้ต่อโจทก์ร่วมเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่งไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share