คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดทางเดินซึ่งผ่านที่ดินจำเลยเนื่องจากทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม โดยบรรยายถึงความเป็นมาและสภาพของที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อกันและติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางใช้เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใดบ้าง และกล่าวถึงเหตุผลที่ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมและทางจำเป็นอย่างไร กับแนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้อง ซึ่งแผนที่ดังกล่าวได้ระบายสีพร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินโจทก์จำเลยกับทางพิพาท และเครื่องหมายแสดงทิศไว้ด้วย ซึ่งเมื่อดูประกอบกันแล้ว สามารถเข้าใจได้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยเฉพาะจำเลยซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ จะต้องเข้าใจได้เป็นอย่างดีฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เดินผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาที่จะใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอด มา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองร่วมกับผู้มีชื่อในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๓๗๖ ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๑ งาน ๖๕ ตารางวาตามแผนที่ภายในเส้นสีน้ำเงินหมายเลข ๑ ท้ายคำฟ้อง จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๓๗๒ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๑ งาน ๑๔ ตารางวา ตามแผนที่ภายในเส้นสีเหลืองท้ายคำฟ้อง เมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยแบ่งขายที่ดินภายในเส้นสีน้ำตาลคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๓๗๕ ตำบลคูบัวอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๓๕ ตารางวา ให้โจทก์เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยดังกล่าวยังไม่มีหนังสือสำคัญ เจ้าพนักงานที่ดินเพิ่งออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ทิศเหนือของที่ดินจำเลยจดทางสาธารณะ ทิศใต้จดที่ดินโจทก์ ที่ดินโจทก์ไม่มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะ เพราะมีที่ดินอื่นล้อมรอบโจทก์เดินและใช้รถจักรยานยนต์ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางขนาดกว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ เมตร ปรากฏตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องภายในเส้นสีแดง ออกสู่ทางสาธารณะด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ครั้งยังเป็นที่ดินมือเปล่า เป็นเวลานานประมาณ๑๙ ปีแล้ว และโจทก์ได้นำหินฝุ่นและดินลูกรังมาถมทางเดินดังกล่าวให้สูงขึ้นกว่าเดิม ๑๐ เซนติเมตรด้วย ทางเดินดังกล่าวจึงเป็นทางภารจำยอม และทางจำเป็น เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๘ จำเลยทำประตูสังกะสีกั้นทางเดิน ปรากฏตามหมายอักษร ก. และ ข. ตามแผนที่ท้ายคำฟ้อง ทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้พิพากษาให้ที่ดินของจำเลยตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๓๗๒ ตามรูปแผนที่ท้ายคำฟ้องภายในเส้นสีแดงกว้าง ๒ เมตร ยาว ๑๐ เมตร ตกเป็นทางภารจำยอม และทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกให้พ้นทาง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอน ก็ขอให้โจทก์รื้อถอนเอง ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยยกที่ดินส่วนหนึ่งส่วนใดในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๓๗๒ ตำบลคูบัว อำเอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ให้เป็นทางผ่านสู่ทางสาธารณะให้แก่โจทก์ที่ดินของโจทก์ทั้งด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมีถนนสาธารณะตัดผ่านข้างที่ดิน และโจทก์ใช้ทางทั้งสองเส้นนี้เป็นทางออกจากที่ดินของโจทก์มาโดยตลอด โดยได้ทไประตูเข้าออกไว้ทั้งสองด้านเมื่อ ๕-๖ ปีมานี้ โจทก์กั้นรั้วตามแนวเขตระหว่างที่ดินโจทก์จำเลย จนกระทั้งเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ โจทก์จำเลยมีปากเสียงกันจำเลยจึงกั้นรั้วด้านใต้ที่ดินจำเลยเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินภายในบ้านสูญหาย โจทก์ไม่ได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินจำเลยเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินภายในบ้านสูญหาย โจทก์ไม่ได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินจำเลย กว้าง ๒ เมตร ยาว ๑๐ เมตร เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ผ่านที่ดินจำเลย เดิมเมื่อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๓๗๕ เป็นของจำเลย จำเลยก็ใช้ทางเดินผ่านออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกมาโดยตลอด เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิครอบครองไปจากจำเลย โจทก์ก็ยังใช้ทางเดินด้านตะวันตกและตะวันออก ทางเดินในที่ดินจำเลยไม่ตกเป็นภารจำยอม หรือทางจำเป็น ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยทราบว่าทางเดินผ่านที่ดินจำเลยคือที่ดินส่วนใดผ่านที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใด และออกสู่ถนนด้านทิศใด ที่ดินจำเลยแห่งใดตกเป็นภารจำยอมหรือทางจำเป็นแก่โจทก์ รูปแผนที่ท้ายคำฟ้องก็ไม่บรรยายว่าโจทก์เดินออกจากทางใด สู่ถนนสาธารณะดานใด จำเลยไม่เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า คำฟ้องขอโจทก์ที่ว่าทางเดินผ่านที่ดินจำเลยเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางทางเดียวกัน ในเวลาเดียวกันอาจเป็นได้ทั้งทางภารจำยอมและทางจำเป็น ฟ้องขอโจทก์เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมที่ดินของโจทก์มีทางอื่นออาทางสาธารณะได้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น แต่โจทก์ใช้ทางพิพาทตามที่ตกลงกันโดยสงบ เปิดเผยโดยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมมากกว่า ๑๐ ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความแล้ว พิพากษากลับว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๓๗๒ ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรี เฉพาะส่วนตามแผนที่พิพาทภายในเส้นสีแดงกว้าง ๒ เมตรยาว ๑๐ เมตร ตกเป็นทางภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยรื้อสิ่งกีดกั้นขวางทางดังกล่าวออกไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งผ่านที่ดินของจำเลย เนื่องจากทางตามฟ้องเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม ดังนั้นกาีที่ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงความเป็นมาและสภาพของที่ดินโจทก์และที่ดินจำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อกันและติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางที่ใช้เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใดบ้าง และกล่าวถึงเหตุผลที่ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอม และทางจำเป็นอย่างไร โดยโจทก์ได้แนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้องด้วย ซึ่งแผนที่ดังกล่าวโจทก์ได้ระบายสีแยกไว้เป็นส่วน ๆ เห็นได้ชัด พร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดไว้ด้วยอย่างชัดเจนแล้วว่าตรงส่วนไหนเป็นที่ดินของโจทก์ส่วนไหนเป็นที่ดินของจำเลย ตรงส่วนที่มีเครื่องหมายสีแดงก็ระบุว่าเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น ทั้งมีเครื่องหมายที่แสดงทิศทั้งสี่ไว้ทางด้านซ้านมือของแผนที่พิพาทอีกด้วย ซึ่งเมื่อดูประกอบกันแล้วสามารถเข้าใจได้แจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว โดยเฉพาะจำเลยซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ จะต้องเข้าใจได้เป็นอย่างดีฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์มีทั้งพยานบุคคล ภาพถ่าย และพยานเอกสารประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักมั่นคง ไม่มีตอนใดขัดต่อเหตุผล จึงน่าเชื่อถือว่าพยานจำเลยซึ่งเบิกความลอย ๆ ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นมาสนับสนุน และจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างในเรื่องที่เกี่ยวกับระยะเวลาที่โจทก์เดินผ่านทางพิพาท ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เดินผ่านทางพิพาทเป็นเวลา ๑๙ ปี ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาที่จะให้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอดมา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบด้วยมาตรา๑๓๘๒ ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share