คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5434/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่ก็ยังซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ก็รู้เช่นเดียวกันแล้วยังรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 2 และที่ 3 แสดงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและจำนองได้ตามป.พ.พ. มาตรา 237
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ แม้โจทก์จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนและไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ก็ตาม แต่ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้แล้วว่า จำเลยทั้งสี่สมคบกันทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินและจำนองที่ดินโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ และมีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวระหว่างจำเลยทั้งสี่ไว้ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและจำนองที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสี่ได้.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกนางสอิ้ง หรือสอิ้งมาศ นราภิรักษ์ เป็นจำเลยที่ ๑ นางสุกัญญา ครามะคำเป็นจำเลยที่ ๒ พันเอกสุวิช ครามะคำ เป็นจำเลยที่ ๓ และธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นจำเลยที่ ๔
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๑๒๗, ๕๘๑๒๘ และ ๕๘๑๒๙ แขวงลาดยาว เขตบางเขนกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ในราคา ๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้วางมัดจำในวันทำสัญญาและชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ อีกบางส่วน แต่จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๑๒๗ และ ๕๘๑๒๙ แก่จำเลยที่๒ กับจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๘๑๒๘ แก่จำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำนองที่ดินทั้งสามแปลงแก่จำเลยที่ ๔ การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพราะรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ได้ทำสัญญาจะขายไว้กับโจทก์และโจทก์ก็ได้อายัดที่ดินไว้แล้ว ขอศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับเงินจำนวน ๕,๓๘๕,๘๑๒.๗๕ บาท จากโจทก์พร้อมกับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสามโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและการจำนองที่ดินทั้งสามโฉนดดังกล่าวระหว่างจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ ๑ ให้การทั้งสองสำนวนเป็นใจความว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนขายที่ดินแก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยสุจริตขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่๑ โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนการซื้อขายถูกต้องตามกฎหมายโจทก์ไม่อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนอันจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยสุจริต มีค่าตอบแทน และจดทะเบียนโดยสุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาจะซื้อจะขายเข้ามาใหม่ภายในอายุความ
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑ รับเงินจำนวน๕,๓๘๕,๘๑๒.๗๕ บาท พร้อมกับทำการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่๕๘๑๒๗, ๕๘๑๒๘ และ ๕๘๑๒๙ แขวงลาดยาว เขตบางเขน กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ ๑ ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่๒ และที่ ๓ ฉบับลงวันที่ ๑๘ และ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๗ กับให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้งสามแปลดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓กับจำเลยที่ ๔ ตามสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๗
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่าโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แล้วยังซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ ก็รู้เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แล้วยังรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ ๒ และที่๓ แสดงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ แม้โจทก์จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนและไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ ดังที่จำเลยทั้งสี่อ้างก็ตามแต่ตามฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วว่า จำเลยทั้งสี่อ้างก็ตาม แต่ตามฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วว่า จำเลยทั้งสี่สมคบกันทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินและจำนองที่ดินโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ และได้มีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายและจำนองระหว่างจำเลยทั้งสี่ไว้ด้วยแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีสำนวนแรก จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในสำนวนคดีแรกแทนโจทก์ ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาในข้อนี้มานั้นฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวมสำนวนละ ๔๐,๐๐๐ บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share