แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และเรือโทสุวรรณ เดชวรรณ เป็นสามีภรรยากัน และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ที่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) เมื่อวันที่๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านหลังดังกล่าวของโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๔๐๐ บาท มีกำหนดการเช่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๔ และมีกำหนดชำระค่าเช่าภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ถ้าผิดสัญญายอมให้โจทก์เลิกสัญญาและยึดทรัพย์สินของจำเลยได้ ปรากฏว่าตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๖ เป็นต้นมา จำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์จนบัดนี้เป็นเวลา ๒๖ เดือน เป็นเงิน ๑๐,๔๐๐ บาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเช่า กับค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยเช่าบ้านเลขที่ ๑๒๖๕ ข. ของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๔ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๔๐๐ บาท แต่จำเลยได้เลิกเช่าและออกจากบ้านดังกล่าวไปนานแล้ว ปัจจุบันจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ที่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ของจำเลยเอง ซึ่งจำเลยปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) เพื่อประกอบอาชีพค้าขายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ก่อนคดีนี้โจทก์เคยนำสัญญาเช่าบ้านฉบับลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๔ มาฟ้องจำเลยครั้งหนึ่งแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๙๐/๒๕๒๗ หมายเลขแดงที่ ๔๗๒/๒๕๒๒ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่เคยติดค้างค่าเช่าบ้านโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากโจทก์ไม่ระบุลักษณะบ้านให้ชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านหลังใด ตั้งอยู่ที่ใด ติดต่อกับใครบ้าง ทำให้จำเลยไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลังอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน ๑๐,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๔๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านหลังพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทจำเลยเช่าบ้านหลังพิพาทจากโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่า
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีมีปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ถนนจำเริญวิถีตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง)แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๗๒/๒๕๒๗ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีก่อนเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๑๒๖๕ ข. ซึ่งเป็นบ้านคนละหลังกับบ้านที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่นี้แต่อย่างใด การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน อันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
อนึ่ง ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า บ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาท เพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น เห็นว่า จำเลยเพิ่งจะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.